คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นออกคำสั่งห้ามจำเลยถอนเงินจากกรมการศาสนาในฐานะที่กรมการศาสนาเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ของวัดจันทรสโมสรผู้ร้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และมีหมายแจ้งคำสั่งที่ห้ามจำเลยไปให้กรมการศาสนาทราบนั้น มิใช่วิธีการอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยต่อกรมการศาสนาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 311จึงต้องถือว่าไม่มีการอายัดสิทธิเรียกร้องเมื่อไม่มีการอายัดก็จะนำมาตรา 312 วรรคสอง มาใช้บังคับไม่ได้
เงินที่จำเลยจ่ายให้กรมการศาสนาเป็นเงินบำรุงวัดจันทรสโมสรผู้ร้องกรมการศาสนาได้นำฝากเข้าบัญชีวัดจันทรสโมสรแล้วจึงเป็นทรัพย์สินของวัดจันทรสโมสรไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลยโจทก์ขอให้ยึดเงินจำนวนนี้มิได้

ย่อยาว

มูลคดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยรับไปพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้โจทก์ และได้ออกคำบังคับระหว่างยังไม่ครบกำหนดตามคำบังคับโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยทั้งสองพยายามจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดเพื่อให้พ้นจากการถูกยึดหรืออายัด ขอให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ไว้ก่อนขอให้ศาลสั่งอายัดเงิน 100,000 บาทที่กรมการศาสนาต้องส่งมอบแก่จำเลย ฯลฯ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามจำเลยถอนเงินจากกรมการศาสนาจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ต่อมาศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้จัดการยึดเงินสด 100,000 บาท ซึ่งกรมการศาสนาจะต้องส่งมอบแก่จำเลย ฯลฯ เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาไม่บังคับให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหาย 70,000 บาทแก่โจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องว่ากรมการศาสนาได้รับหมายอายัดของศาลแล้วมิได้คัดค้านถือว่ากรมการศาสนาเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเงิน 100,000 บาทจากกรมการศาสนา แต่เจ้าพนักงานยังมิได้เรียกเก็บ จึงขอให้มีคำสั่งยึดเงิน 100,000 บาท โดยถือว่ากรมการศาสนาเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ ต่อมาศาลได้ออกหมายบังคับคดี ศาลได้ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินจำนวนดังกล่าว

กรมการศาสนายื่นคำร้องว่า เงิน 100,000 บาทที่เจ้าพนักงานกองหมายให้ผู้ร้องส่งไปยังกองหมายโดยอ้างว่าเป็นเงินที่ศาลชั้นต้นสั่งอายัดกรมการศาสนาผู้ร้องโดยห้ามมิให้จ่ายให้จำเลยนั้น เป็นเงินของวัดจันทรสโมสรและกรมการศาสนาเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาเป็นเงิน 94,944.32 บาท กรมการศาสนาถือเงินจำนวนนี้เป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาอีกโสดหนึ่งจึงขอให้ปล่อยเงิน 100,000 บาทศาลชั้นต้นเห็นว่าชอบที่จะร้องขัดทรัพย์หรือร้องขอเฉลี่ยให้ยกคำร้อง

ต่อมากรมการศาสนายื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์

วัดจันทรสโมสรยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า จำเลยเช่าที่ธรณีสงฆ์ของวัดโดยจำเลยสัญญาว่าจะให้เงินบำรุงวัด 300,000 บาท ขอจ่ายเป็นงวด ๆ จำเลยจ่ายเงินบำรุงวัด 2 งวดเป็นเงิน 100,000 บาท กรมการศาสนาได้รับเงินนี้ไว้แทนวัด ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด คืนเงินแก่วัดจันทรสโมสรผู้ร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาเรื่องกรมการศาสนาขอเฉลี่ยทรัพย์กับเรื่องวัดจันทรสโมสรร้องขัดทรัพย์ไปด้วยกัน

ศาลชั้นต้นสั่งให้ปล่อยเงินรายนี้ และเมื่อต้องปล่อยทรัพย์แล้วการขอเฉลี่ยในเงินก็ย่อมตกไปด้วย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าสัญญาเช่าที่ธรณีสงฆ์ของวัดจันทรสโมสรผู้ร้องซึ่งกรมการศาสนาทำกับจำเลยนั้นกรมการศาสนาได้ทำขึ้นในฐานะที่กรมการศาสนาเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ของวัดจันทรสโมสรผู้ร้องอันถือได้ว่ากรมการศาสนาเป็นตัวแทนของวัดจันทรสโมสรผู้ร้องก็ตาม แต่วิธีการที่ศาลชั้นต้นออกคำสั่งห้ามจำเลยถอนเงินจากกรมการศาสนาจนกว่าคดีจะถึงที่สุดและมีหมายแจ้งคำสั่งที่ห้ามจำเลยไปให้กรมการศาสนาทราบนั้นมิใช่วิธีการอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยต่อกรมการศาสนาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 311 จึงต้องถือว่าไม่มีการอายัดสิทธิเรียกร้องต่อกรมการศาสนาซึ่งเป็นตัวแทนของวัดจันทรสโมสรผู้ร้องแต่อย่างใด เมื่อไม่มีการอายัดก็จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 312 วรรค 2 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ดังฎีกาโจทก์ไม่ได้

ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินจำนวน 100,000 บาทที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาจากกรมการศาสนานั้น ก็ได้ความว่าเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้กรมการศาสนาเป็นเงินบำรุงวัดจันทรสโมสรผู้ร้อง และกรมการศาสนาได้นำฝากเข้าบัญชีวัดจันทรสโมสรผู้ร้องแล้วเงินจำนวนนี้จึงเป็นทรัพย์สินของวัดจันทรสโมสรผู้ร้อง ไม่ใช่เป็นทรัพย์สินของจำเลย โจทก์ขอให้ยึดเงินจำนวนนี้มิได้ ศาลต้องสั่งให้ปล่อยเงินที่ยึดนี้เสีย

Share