คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้ว่าคดีโจทก์ ตามอำนาจที่ให้ไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 นั้น คำร้องของผู้เสียหายไม่ใช่คำฟ้องที่ถือได้ว่าเป็นคำฟ้องคดีหนึ่งอีกต่างหากจากฟ้องของผู้ว่าคดีโจทก์ เมื่ออำนาจฟ้องของผู้ว่าคดีโจทก์สำหรับคดีนั้นไม่มีต้องยกฟ้องของผู้ว่าคดีโจทก์แล้ว ย่อมเป็นผลตามกฎหมายที่ต้องยกฟ้องของผู้เสียหายโจทก์ร่วมไปด้วยเพราะไม่มีคำฟ้องเหลืออยู่ที่จะให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ (อ้างฎีกาที่ 1274/2481)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2510 เวลากลางวัน จำเลยขับรถยนต์โดยสารขึ้นสะพาน ขับกินทางไปทางขวาด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถคันที่จำเลยขับชนรถจักรยานยนต์ที่จ่าสิบเอกพุฒ วงศ์ต่อม ขับขี่อย่างแรง จนจ่าสิบเอกพุฒได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุเกิดที่ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 30, 66

จ่าสิบเอกพุฒผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต

จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลภายใน 72 ชั่วโมง และมิได้ขอผัดฟ้องต่อศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 7 ที่แก้ไขแล้วจึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยถูกจับวันที่ 19 สิงหาคม 2510 แล้วผู้ว่าคดีโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย พิพากษายกฟ้องทั้งของโจทก์ร่วมด้วย

โจทก์ร่วมฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่า การที่ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายนั้น เป็นกรณีที่มุ่งบัญญัติตัดสิทธิเฉพาะผู้ว่าคดีเท่านั้น โจทก์ร่วมยังคงมีอำนาจฟ้องในฐานะผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2), 29 และ 30

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้ว่าคดีโจทก์ โดยถือเอาคำฟ้องเดิมของผู้ว่าคดีเป็นคำฟ้องของผู้เสียหาย ซึ่งศาลอนุญาตแล้ว เมื่อผู้ว่าคดีไม่มีอำนาจฟ้อง เช่นนี้ โจทก์ร่วมซึ่งถือเอาตามคำฟ้องของผู้ว่าคดีที่ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว อำนาจฟ้องของโจทก์ร่วมก็ย่อมเสียไปด้วย โจทก์ร่วมจะอ้างสิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่ผู้ว่าคดีโจทก์ซึ่งตนเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยหาชอบไม่ พิพากษายืน

โจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ผู้ว่าคดีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะไม่ได้ปฏิบัติการตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 มาตรา 4 ฟ้องผู้ว่าคดีโจทก์จึงต้องห้ามตามมาตรา 9 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯพ.ศ. 2499 แล้ววินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์โดยขอถือเอาคำฟ้องของผู้ว่าคดีเป็นคำฟ้องของผู้ร้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 ให้อำนาจไว้ ทั้งคำร้องนี้ก็ไม่ใช่คำฟ้องที่ถือได้ว่าเป็นคดีหนึ่งอีกต่างหากจากฟ้องของผู้ว่าคดีโจทก์เมื่อฟ้องของผู้ว่าคดีโจทก์ต้องยกฟ้องแล้ว การเข้าร่วมเป็นโจทก์ของผู้เสียหายก็ย่อมตกไปด้วยเพราะไม่มีคำฟ้องของโจทก์ร่วมเป็นอีกคดีหนึ่งเหลืออยู่ที่จะให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้รูปเรื่องทำนองนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1274/2481

พิพากษายืน

Share