แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายเพราะไม่ใช่บุตรและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายนั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกข้อนี้ขึ้นว่าในชั้นอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์เป็นเพียงบุตรนอกสมรสของผู้ตาย ถึงแม้ผู้ตายได้แจ้งทะเบียนคนเกิดว่าโจทก์เป็นบุตรของผู้ตายและอุปการะเลี้ยงดูโดยเปิดเผยตลอดมา ก็ไม่ทำให้โจทก์เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะบุตรนอกสมรสจะกลายเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายได้ตามวิธีการในมาตรา 1526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เท่านั้นโจทก์คงมีฐานะเป็นเพียงบุตรที่ผู้ตายได้รับรองแล้วตามมาตรา 1627และมีสิทธิที่จะรับมรดกในฐานะที่เป็นผู้สืบสันดานได้ตามมาตรา 1629(1)แต่ไม่มีสิทธิได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากผู้ที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภริยาของนายบักลิ้ม แซ่ล้อ โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 กับนายบักลิ้ม โจทก์ร่วมเป็นมารดาของนายบักลิ้ม จำเลยที่ 2, 3 และ 4 มอบให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ จำเลยที่ 1 ขับโดยประมาทชนนายบักลิ้มถึงแก่ความตาย ขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะและค่าทำศพ
จำเลยทั้ง 4 ให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบักลิ้ม และโจทก์ที่ 2 ก็ไม่ใช่บุตรของนายบักลิ้มเพราะเกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทำศพแก่โจทก์ที่ 1 และใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่าให้จำเลยที่ 2, 3 และ 4 ร่วมใช้เงินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงคงได้ความตามคำแถลงของคู่ความและพยานที่โจทก์จำเลยนำสืบเป็นยุติว่า นางสมนึก เพชรเรือง หรือแซ่ล้อโจทก์ที่ 1 เป็นภริยาของนายบักลิ้ม แซ่ล้อหรือโล้วผู้ตายโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย เกิดบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กหญิงวรรณา แซ่ล้อโจทก์ที่ 2แต่ผู้ตายไม่ได้จดทะเบียนว่าโจทก์ที่ 2 เป็นบุตรของผู้ตาย นายกิมจั้ว แซ่จึง จำเลยที่ 1 และนายหั่งตงหรือค้วก แซ่จึงจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนายเจ็กซกกับนางกวง แซ่ลิ้ม จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 แต่ไม่ได้อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 โดยมีบ้านแยกไปอยู่ต่างหาก จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4ประกอบการค้าและเป็นเจ้าของร้านค้าจึงย่งไถ่ซึ่งอยู่ที่ตลาดบางบัวอำเภอบางเขน เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2508 นายกิมจั้วจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่ชายของนายหั่งตงหรือค้วกจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์เลขทะเบียนที่ ก.ท.บ. 1937 ชนนายบักลิ้ม แซ่ล้อหรือโล้วสามีนางสมนึกโจทก์ที่ 1ถึงแก่ความตายโดยประมาท ซึ่งศาลอาญาได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานทำให้คนตายโดยประมาทและคดีถึงที่สุดไปแล้ว รถยนต์คันเกิดเหตุมีชื่อนายหั่งตงหรือค้วกจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของในทะเบียน
ที่โจทก์แก้ฎีกาว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาวันที่ 20 พฤษภาคม 2511 เมื่อนับหนึ่งเดือนก็ครบอายุฎีกาในวันที่ 19 มิถุนายน 2511 หาใช่ครบอายุฎีกาวันที่ 20 มิถุนายน 2511 ซึ่งเป็นวันหยุดราชการไม่ ฎีกาของจำเลยจึงขาดอายุความฎีกาตามกฎหมายขอมีคำสั่งให้จำเลยขาดยื่นฎีกาเสีย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามคำแก้ฎีกาของจำเลยนี้เสียก่อน ในปัญหาดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่า คดีนี้จำเลยชอบที่จะยื่นฎีกาได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ปรากฏว่าศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2511 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 บัญญัติว่า ถ้าระยะเวลานับเป็นวันก็ดี สัปดาห์ก็ดี เดือนหรือปีก็ดี ท่านมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวณเข้าด้วยฯ ดังนั้นการนับอายุความฎีกาคดีนี้จึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2511 และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 บัญญัติว่า ถ้าระยะเวลานับเป็นสัปดาห์ก็ดี เดือนหรือปีก็ดี ท่านให้คำนวณตามปฏิทินในราชการ ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ก็ดี วันต้นเดือนหรือปีก็ดี ท่านว่าระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือนหรือปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น ๆ ฉะนั้นเมื่ออายุความ ฎีกาคดีนี้เริ่มนับแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2511กำหนดหนึ่งเดือนจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 20 มิถุนายน 2511 ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งเดือนสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น แต่ในวันดังกล่าวนี้เป็นวันหยุดราชการ จึงต้องนับถึงวันที่ 21 มิถุนายน 2511 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มทำงานใหม่เข้าในอายุความฎีกาด้วยตามมาตรา 161 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้น ฎีกาจำเลยจึงหาขาดอายุความดังคำแก้ฎีกาของโจทก์ไม่
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าทำศพซึ่งเป็นค่าเสียหายได้ เพราะโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายและโจทก์ที่ 1 ไม่ใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายบักลิ้มผู้ตายนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์ก็ดี แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน คู่ความที่เกี่ยวข้องก็ย่อมยกขึ้นอ้างอิงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ในปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า เด็กหญิงวรรณา แซ่ล้อ โจทก์ที่ 2 ไม่ใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายบักลิ้มผู้ตาย โดยเป็นเพียงบุตรนอกสมรสของนายบักลิ้มผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 ซึ่งผู้ตายได้แจ้งทะเบียนคนเกิดว่าเป็นบุตรตน และอุปการะเลี้ยงดูโดยเปิดเผยตลอดมาเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายบักลิ้มผู้ตายแจ้งทะเบียนคนเกิดว่า เด็กหญิงวรรณาโจทก์ที่ 2 เป็นบุตรตนก็ดีหรือได้ทำการอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ที่ 2 ฉันบุตรตลอดมาก็ดี ก็หาทำให้โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายขึ้นมาได้ไม่ เพราะบุตรนอกสมรสจะกลายเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายได้ก็ต้องเป็นไปตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กล่าวคือ เมื่อบิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเท่านั้น โจทก์ที่ 2 คงมีฐานะเพียงเป็นบุตรที่นายบักลิ้มผู้ตายได้รับรองแล้วตามมาตรา 1627 และมีเพียงสิทธิที่จะได้รับมรดกในฐานะเป็นผู้สืบสันดานของผู้ตาย ตามมาตรา 1629(1) จึงไม่มีสิทธิได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากผู้ที่ทำให้บิดาตนถึงแก่ความตายได้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1259/2506 ระหว่างนายเกียตำ แซ่โง้ว กับพวก โจทก์ นายแกละหรือยง จินทร์ประสาท กับพวก จำเลย ส่วนโจทก์ที่ 1 ก็เช่นเดียวกัน เมื่อปรากฏว่าไม่ใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบักลิ้มผู้ตายแล้วก็ไม่ใช่ผู้เสียหายที่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทำศพผู้ตายจากจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้เงินตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่าให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นศาลอุทธรณ์ ชั้นศาลฎีกาให้เป็นพับไป”