แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จังหวัดฟ้องข้าราชการสังกัดจังหวัดนั้น ขอให้คืนหรือใช้เงินที่เบิกไปโดยไม่มีสิทธิเบิกกับเงินที่เบิกเกินสมควร เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินที่จำเลยผู้กระทำการอันมิชอบ ยึดถือครอบครองไว้โดยไม่มีสิทธิซึ่งเจ้าของมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องเรียกค่าเสียหาย อันเกิดแต่มูลละเมิดจะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาใช้บังคับไม่ได้
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีพันตำรวจเอกนิรันดรชัยนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาคแห่งจังหวัดเชียงใหม่มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในจังหวัดเชียงใหม่ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 เดิมจำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกระทรวงมหาดไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2504 กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดเชียงใหม่ ครั้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2504 จำเลยยื่นคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านต่อโจทก์ โดยขอเช่าบ้านของนางสาวอดิสัย เลาหะชัย ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท แต่ขอเบิกรับเงินค่าเช่าบ้านตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการและจำเลยถืออำนาจอ้างการรักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สั่งอนุญาตให้จำเลยเบิกเงินค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยยื่นคำขอดังกล่าวและสั่งให้เบิกเงินงบประมาณแผ่นดินในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์จ่ายให้จำเลยไป แล้วจำเลยได้เช่าและอาศัยสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านในนามบ้านนางสาวอดิสัย เลาหะชัย ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2504 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2504 รวม 7 เดือน ในอัตราเดือนละ 900 บาท แต่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2505 ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2508 รวม 37 เดือน 19 วัน ในอัตราเดือนละ 975 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 43,036 บาท ความจริงบ้านเลขที่ 44ที่จำเลยเช่าจากนางสาวอดิสัย เลาหะชัย เป็นของจำเลยซึ่งตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยระเบียบค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2483 จำเลยไม่มีสิทธิเบิกและรับเงินค่าเช่าบ้านได้ โจทก์เพิ่งทราบความจริงและการกระทำอันมิชอบของจำเลยเมื่อกลางเดือนมีนาคม 2510 ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 43,036 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2510 จนถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 3,227.70 บาท และตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์
สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปลายเดือนกันยายน 2507กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน จำเลยได้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากเงินงบประมาณแผ่นดินในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ไปเป็นค่าจ้างเหมารถยนต์บรรทุกสำหรับบรรทุกสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวของจำเลยรวม 3 คันคันละ 5,000 บาท จากบ้านพักในเมืองเชียงใหม่ถึงบ้านพักในเมืองแม่ฮ่องสอนจำเลยมีสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวมีปริมาตรไม่เกิน 10 ลูกบาศก์เมตร น้ำหนักไม่เกิน 2,000 กิโลกรัม ซึ่งจำเลยมีสิทธิเบิกได้เพียงค่ารถยนต์บรรทุกจ้างเหมาบรรทุกสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัว 2 คัน ๆ ละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 5,000 บาท แต่จำเลยกลับเบิกถึง 3 คัน ๆ ละ 5,000 บาท เป็นเงิน 15,000 บาท จึงเกินไป 10,000 บาท ซึ่งจำเลยต้องคืนเงินส่วนที่เกินให้โจทก์ โจทก์เพิ่งทราบความจริงและการกระทำอันมิชอบของจำเลยเมื่อกลางเดือนมีนาคม2510 โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงิน แต่จำเลยไม่ยอมคืน ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 10,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 กันยายน 2510 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 395.83 บาท และนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ใช่ผู้เสียหายฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ เพราะเป็นเรื่องละเมิดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ทราบเรื่องแล้วเกิน 1 ปีถึงวันฟ้องและบ้านซึ่งจำเลยเช่าเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวอดิสัย เลาหะชัย สำหรับค่าจ้างรถยนต์บรรทุกคันละ 5,000 บาทนั้น เป็นราคาที่ไม่แพงเกินสมควรไม่เกินอัตราตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เงินค่าเช่าบ้านและเงินค่าพาหนะเดินทางเป็นเงินจัดสรรให้จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นนิติบุคคล โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง แต่ปรากฏว่ากระทรวงมหาดไทยรู้ถึงการละเมิดของจำเลยตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 29 ธันวาคม 2509 ซึ่งนับถึงวันฟ้องเกิน 1 ปี เงินที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนอยู่ในอำนาจหน้าที่โจทก์ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย เงินดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยด้วย เมื่อกระทรวงมหาดไทยทราบการละเมิดเกิน 1 ปีแล้วหนี้รายนี้จึงขาดอายุความแล้ว โจทก์จะมาฟ้องหาได้ไม่ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าบ้านและค่าพาหนะขนย้ายครอบครัว ไม่ใช่ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดเรียกค่าเสียหาย จึงนำอายุความ 1 ปี เกี่ยวกับละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาใช้บังคับไม่ได้ คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าอายุความ 1 ปี เกี่ยวกับการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ใช้บังคับเฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดแต่คดีทั้งสองนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยเบิกไปโดยที่จำเลยไม่มีสิทธิเบิกได้ และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินค่าพาหนะขนย้ายครอบครัวและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเลยเบิกเกินความจำเป็นหรือเกินสมควร จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกทรัพย์สินที่จำเลยผู้กระทำการอันมิชอบยึดถือครอบครองของเขาไว้โดยไม่มีสิทธิ ซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ฉะนั้น จึงนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน