คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 531/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับผู้เสียหายมีปากเสียงกันก่อนด้วยเรื่องผู้เสียหายเลี้ยงสุกร มูลสุกรส่งกลิ่นเหม็นไปถึงห้องที่จำเลยเช่าแล้วจำเลยได้ไปเอามีดปังตอปลายแหลมจากห้องที่จำเลยเช่ามาฟันและแทงผู้เสียหายเป็นบาดแผลที่ขมับ ข้อศอก รักแร้ และคาง ถึงสาหัส ดังนี้เป็นการทำร้ายในปัจจุบันทันทีนั้น เมื่อไม่มีเรื่องอื่นถึงขนาดจะเอาชีวิตกันมาก่อน แม้มีดที่จำเลยใช้ทำร้ายอาจทำให้ถึงตายได้ แต่บาดแผลแต่ละแผลที่ผู้เสียหายได้รับไม่ร้ายแรงแสดงว่าจำเลยฟันและแทงไปตามธรรมดาตามโอกาสอำนวยไม่ได้เลือกหรือตั้งใจทำร้ายที่อวัยวะส่วนสำคัญ เช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาฆ่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2513 เวลากลางวัน จำเลยใช้มีดสับเนื้อปลายแหลมยาว 1 ฟุต 3 นิ้ว ฟันและแทงร้อยโทประสิทธิ์ทาระขจัด ถูกขมับขวา ข้อศอกขวา รักแร้ และที่คาง เป็นอันตรายสาหัสโดยมีเจตนาฆ่า แต่มีผู้ห้ามจำเลยไว้ทัน ร้อยโทประสิทธิ์จึงไม่ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 295, 297 สั่งริบมีดของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว กลับให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297 และมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดจำเลยอายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ให้กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 5 ปี ลดโทษเพราะมีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้อีก1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 3 ปี 4 เดือน ริบมีดของกลาง

จำเลยอุทธรณ์ว่า ไม่มีเจตนาฆ่า ยังไม่ควรรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ขอให้พิพากษาแก้ และลดหย่อนโทษ

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา 76 ให้กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุกจำเลย 4 ปีลดโทษเพราะมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้อีก 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี8 เดือน ริบมีดของกลาง ข้อหานอกนี้ให้ยก

โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายรับว่าจำเลยกับผู้เสียหายไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ที่ผู้เสียหายว่าผู้เสียหายเคยห้ามไม่ให้จำเลยเล่นไพ่ จำเลยพูดว่าผู้เสียหายขัดคอ จะพยายามฆ่าผู้เสียหายให้ตาย นั้น เห็นว่า เหตุเพียงเท่านี้ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะกล่าวคำอาฆาตเช่นนั้น แต่ในวันที่เกิดเหตุนี้จำเลยกับผู้เสียหายมีปากเสียงกันด้วยเรื่องที่ผู้เสียหายเลี้ยงสุกรไว้ขาย มูลสุกรเหม็นไปถึงห้องที่จำเลยเช่า เมื่อผู้เสียหายพูดว่าถ้าจำเลยอยู่ไม่ได้ก็ให้ย้ายไป จำเลยจึงได้ไปเอามีดปังตอปลายแหลมมาจากห้องที่จำเลยเช่า ฟันและแทงผู้เสียหาย เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทำร้ายผู้เสียหายในปัจจุบันทันทีนั้น เพราะเหตุว่าผู้เสียหายพูดไม่ถูกใจจำเลย ไม่มีเรื่องอื่นถึงขนาดจะเอาชีวิตกัน แม้มีดที่จำเลยใช้ทำร้ายผู้เสียหายอาจทำให้ถึงตายได้และผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บหลายแห่งตามที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง แต่ผู้เสียหายเบิกความว่าแผลที่ขมับขวายาวราว 6 เซนติเมตรเท่านั้นแผลนี้จึงไม่ยาวถึง 6 นิ้วตามฟ้อง และในวันนั้นผู้เสียหายไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ทำบาดแผลเสร็จแล้ว ผู้เสียหายกลับบ้านได้ เห็นได้ว่าแต่ละแผลไม่ร้ายแรง ผู้เสียหายจึงไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลได้ทุกวันจนครบ 15 วัน จึงได้หยุดและรักษาตัวอยู่ที่บ้านอีกหนึ่งเดือนเศษเช่นนี้เห็นว่า จำเลยฟันและแทงผู้เสียหายไปตามธรรมดาและตามแต่โอกาสอำนวย จำเลยไม่ได้เลือกหรือตั้งใจทำร้ายผู้เสียหายที่อวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายอย่างหนักหน่วงรุนแรงหรือถนัดมือ ที่ผู้เสียหายว่าผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยวิ่งตามไปและพูดว่าจะฆ่าให้ตาย มีแต่คำเบิกความของผู้เสียหายคนเดียวไม่น่ารับฟัง และเมื่อนายสัมฤทธิ์กางแขนกั้นและพูดห้ามจำเลยจำเลยก็เดินหนีไปไม่ได้ทำร้ายผู้เสียหายอีก ทั้งร้อยตำรวจตรีชัยยุทธ ประทุม พนักงานสอบสวนว่าผู้เสียหายไปแจ้งความแต่เพียงว่า จำเลยใช้มีดฟันและแทงทำร้ายร่างกาย จำเลยก็ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนแต่ในข้อนี้ และจำเลยปฏิเสธว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แม้คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และจำเลยไม่สืบพยานจำเลย แต่พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share