แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การใช้กำลังกายกอดรัดและบีบเคล้นนมของผู้เสียหายจนฟกช้ำ เป็นการประทุษร้ายร่างกายที่เกลื่อนกลืนเป็นกรรมเดียวกับการกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ไม่เป็นมูลความผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 296 อีกบทหนึ่งต่างหาก
การที่โจทก์เป็นข้าราชการผู้น้อย (ตำแหน่งหัวหน้าแผนก) อยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลย (ตำแหน่งอธิบดี) ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบแบบแผนนั้น หาใช่ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า
ก. เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๐๙ จำเลยบังอาจทำอนาจารและทำร้ายร่างกายโจทก์โดยใช้กำลังยื้อยุดและปลุกปล้ำโจทก์ และผลักบานประตูโดยแรงให้ปะทะโจทก์จนล้มลงหงายหลังก้นกระแทก เป็นเหตุให้บริเวณสะโพกและอวัยวะภายในบาดเจ็บฟกซ้ำและตกโลหิตแล้วแท้งบุตรโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาประมาณ ๑ เดือนเศษ
ข. เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๒ จำเลยบังอาจทำอนาจารและทำร้ายร่างกายให้โจทก์โดยใช้กำลังกอดรัดและบีบเคล้นอวัยวะของสงวนบริเวณหน้าอกของโจทก์จนบาดเจ็บฟกซ้ำ ต้องรักษาประมาณ ๗ วันจึงหาย
ค. เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๒ จำเลยบังอาจทำอนาจารและทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยใช้กำลังกอดรัดและบีบเคล้นอวัยวะของสงวนบริเวณหน้าอกของโจทก์จนบาดเจ็บฟกซ้ำรักษาประมาณ ๗ วันจึงหาย
ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘, ๒๘๐,๒๘๕, ๒๙๖, ๒๙๗, ๓๐๓, ๙๐, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่า ฟ้องของโจทก์ ข้อ ก.มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘, ๒๙๐, ๒๙๔ และ ๒๙๗ส่วนฟ้องข้อ ข. และ ค. เป็นผิดฐานอนาจาร ตามมาตรา ๒๗๘ ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้ ตามมาตรา ๒๘๑ มิใช่เป็นการทำร้ายร่างกายอันจะเป็นความผิดอีกฐานหนึ่งต่างหาก เมื่อโจทก์มิได้ร้องทุกข์และมาฟ้องเมื่อเกินกำหนด๓ เดือน นับแต่วันที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดคดีขาดอายุความตามมาตรา ๙๖ จึงให้ประทับฟ้องเฉพาะ ข้อ ก.
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่าจำเลยดึงอกขยี้นมโจทก์และจำเลยทำไม่แรง ไม่ปรากฏว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์เลยการกระทำของจำเลยเป็นเพียงกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘ และไม่เข้าลักษณะกระทำต่อผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการตามมาตรา ๒๘๕ คดีขาดอายุความพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องข้อ ข. และ ข้อ ค. และนำสืบชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๑๒ และวันที่ ๑๕ ธันวาคม๒๕๑๒ จำเลยเรียกโจทก์เข้าไปในห้องทำงานของจำเลยและบังอาจกระทำอนาจารและทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยใช้กำลังกายกอดรัดและบีบเคล้นอวัยวะของสงวนบริเวณหน้าอกของโจทก์จนฟกซ้ำ ศาลฎีกาเห็นว่าการประทุษร้ายร่างกายโจทก์ได้เกลื่อนกลืนเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกับการกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘ แล้ว หาได้เป็นมูลความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา ๒๙๖ อีกบทหนึ่งไม่ การที่โจทก์ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกชีวานามัยเป็นข้าราชการผู้น้อยอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบแบบแผนนั้น ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้หาใช่ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการ ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๕ ไม่ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา ๒๗๘ ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้โจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายใน ๓ เดือน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษายืน