แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานศาลปิดคำบังคับวันที่ 1 พฤษภาคม 2514คำบังคับจะมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสองกล่าวคือมีผลใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2514 คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับ นับจากวันที่ 17 พฤษภาคม 2514 ก็จะครบกำหนดในวันที่ 31 เดือนเดียวกัน จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 3 มิถุนายน 2514 ย่อมล่วงพ้นกำหนดเวลาที่จะยื่นได้
จำเลยอ้างในคำขอให้พิจารณาใหม่ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่อื่นมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยจึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ไม่ทราบการปิดหมายเรียกและคำบังคับจำเลยไปธุระที่อำเภอซึ่งกล่าวในฟ้องว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยจึงทราบว่าจำเลยถูกฟ้องและทราบคำบังคับเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2514 และจำเลยไปที่ศาลจึงทราบแน่นอนเมื่อวันที่ 31 เดือนเดียวกัน หากข้อเท็จจริงตามคำขอให้พิจารณาใหม่เป็นความจริงย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้และพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้องและศาลปิดคำบังคับแล้ว ซึ่งจำเลยมีสิทธิยื่นคำขอให้ฟ้องพิจารณาใหม่ได้ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1296/2510)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าข้าวสารจากจำเลย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องและดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับและปิดคำบังคับ ณ บ้านเรือนจำเลยตามที่กล่าวในฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีการพิจารณาใหม่อ้างว่าไม่ได้อยู่ที่บ้านตามฟ้องเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องจึงยื่นคำร้องล่าช้า จำเลยไม่จงใจขาดนัด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องเมื่อพ้นระยะเวลาสิบห้าวันนับจากวันได้ส่งคำบังคับและกรณีตามขอ ยังถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและสั่งคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีได้ความว่าเจ้าพนักงานศาลปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2514 คำบังคับจะมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 วรรค 2 คือ คำบังคับจะมีผลใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม2514 แต่คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับ ฉะนั้นเมื่อนับจากวันที่ 17 พฤษภาคม 2514ก็จะครบกำหนดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2514 ที่จำเลยยื่นคำขอพิจารณาใหม่วันที่ 3 มิถุนายน 2514 จึงล่วงพ้นกำหนดเวลาที่จะยื่นได้ แต่จำเลยอ้างมาในคำขอให้พิจารณาใหม่ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่อื่นมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านตามที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง จำเลยจึงไม่ทราบว่าจำเลยถูกฟ้องไม่ทราบการปิดหมายเรียก และไม่ทราบการปิดคำบังคับจำเลยไปธุระที่ปากช่องจึงทราบว่าจำเลยถูกฟ้อง และทราบคำบังคับเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2514 และจำเลยไปที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา จึงทราบแน่นอนเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2514 นอกจากข้ออ้างของจำเลยดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้รายงานการส่งหมายเรียกให้จำเลยยื่นคำให้การว่า เจ้าหน้าที่ผู้ส่งหมายเรียกได้สอบถามนางประทินได้ความจากนางประทินว่าจำเลยได้ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ หลายเดือนแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ได้ปิดหมายเรียก และต่อมาได้มีการปิดหมายนัดพิจารณาและปิดคำบังคับ เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า หากข้อเท็จจริงตามคำขอให้พิจารณาใหม่เป็นความจริง ย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับ โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ และพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้ เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อจำเลยทราบว่า จำเลยถูกฟ้อง และศาลปิดคำบังคับแล้ว จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ได้สิ้นสุดลง วันที่พฤติการณ์นั้นสิ้นสุดลงคือวันที่ 28 พฤษภาคม 2514 จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 3 มิถุนายน 2514 จึงยื่นได้โดยนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1296/2510
พิพากษายืน