คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8599/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องเรียกตัวผู้เป็นอนุญาโตตุลาการมาไต่สวนก่อนมีคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีโดยไม่มีการนำสืบตัวผู้เป็นอนุญาโตตุลาการจึงเป็นการชอบแล้ว
คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการถือว่าเป็นที่สุดและผูกพันคู่กรณี เป็นแต่หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดแล้ว ยังไม่อาจที่จะบังคับได้จนกว่าจะได้มีการนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก่อน เมื่อศาลชั้นต้นไต่สวนมีคำพิพากษาตามหรือปฏิเสธคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้ว จึงต้องห้ามอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยไม่ต้องคำนึงว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทจะมีมากน้อยเพียงใดเว้นแต่การอุทธรณ์จะเป็นไปตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530มาตรา 26(1) ถึง (5) จึงจะอุทธรณ์ได้ การที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์อ้างว่าอนุญาโตตุลาการกระทำการไม่สุจริตและผู้ร้องใช้กลฉ้อฉล คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่ชอบเป็นการอุทธรณ์ตามมาตรา 26(1) จึงอุทธรณ์ได้
แม้การซื้อขายที่มีราคาเกินกว่า 500 บาท มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับผิดเป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ดังที่ผู้คัดค้านฎีกา แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็มิใช่เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้านได้เกิดขึ้นแล้วโดยชอบ เพียงแต่จะฟ้องร้องบังคับกันได้หรือไม่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น นอกจากนี้คำคัดค้านของผู้คัดค้านในชั้นอนุญาโตตุลาการก็มิได้ยกข้ออ้างที่ว่าการตกลงซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้คัดค้านไว้เป็นสำคัญไว้เป็นสำคัญที่ผู้ร้องไม่อาจยกขึ้นบังคับดังกล่าวแต่อย่างใด การที่อนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยความผูกพันระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเฉพาะเรื่องความรับผิดในการที่ผู้คัดค้านเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายแล้วมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้อง จึงชอบแล้ว เมื่อผู้คัดค้านไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยที่ผู้คัดค้านก็ยอมรับในคำคัดค้านของตนว่าจะยอมผูกพันตามคำสั่งกระบวนพิจารณาและกฎระเบียบของข้อบังคับอนุญาโตตุลาการจนเป็นเหตุให้ผู้ร้องนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่จะใช้บังคับผู้คัดค้านต่อไป ซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งมานั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ ที่บัญญัติไว้โดยชอบแล้ว คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่มีส่วนใดขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังเช่นที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ขอให้บังคับผู้คัดค้านชำระค่าเสียหายตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวข้างต้นจำนวน 1,194,601 ดอลลาร์สหรัฐ โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 25.05 บาท เป็นเงิน 29,924,755.05 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 มกราคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จและค่าอากรแสตมป์ที่ผู้ร้องชำระแทนไป 15,530 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ผู้คัดค้านชำระค่าเสียหายแก่ผู้ร้องเป็นเงิน29,924,755.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 มกราคม2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ผู้คัดค้านชำระค่าอากรแสตมป์ปิดตามคำชี้ขาดตามประมวลรัษฎากรที่โจทก์ชำระไปแทนเป็นเงิน 15,530 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ

ผู้คัดค้านอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้คัดค้านฎีกา

ศาลฎีกาแผนกทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า”มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใด ๆ เกี่ยวกับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น ศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนตัวผู้เป็นอนุญาโตตุลาการก่อนหรือไม่ ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ. 2530 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำชี้ขาดใดไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้น หรือเป็นคำชี้ขาดที่เกิดจากการกระทำ หรือวิธีการอันมิชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมิได้อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการที่มีผลผูกพันตามกฎหมายหรือคำขอของคู่กรณี ให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดนั้น” เป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลทำการตรวจสอบหรือรื้อฟื้นทบทวนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก่อนที่ศาลชั้นต้นจะทำการบังคับตามคำชี้ขาดให้ผู้ร้องด้วยวิธีไต่สวนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 23 วรรคสอง ว่า”เมื่อศาลได้รับคำร้องขอตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้รีบทำการไต่สวนและมีคำพิพากษาโดยด่วน ทั้งนี้ต้องให้คู่ความกรณีฝ่ายที่จะถูกบังคับมีโอกาสคัดค้านก่อน” ดังนั้นเมื่อฝ่ายที่จะถูกบังคับได้คัดค้านแล้ว ศาลต้องทำการไต่สวนเพื่อให้กระจ่างว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นคำชี้ขาดที่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้นหรือไม่คำชี้ขาดเกิดจากการกระทำหรือวิธีการอันชอบอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ คำชี้ขาดอยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการที่มีผลผูกพันตามกฎหมายหรือคำขอของคู่กรณีหรือไม่ กรณีจึงเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นต้องทำการไต่สวนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการและตัวผู้เป็นอนุญาโตตุลาการผู้ทำคำชี้ขาดนั้น เห็นว่า ที่คู่กรณีต้องการระงับข้อพิพาททางแพ่งกันโดยทางอนุญาโตตุลาการนอกศาลนั้นก็ด้วยต่างพึงเล็งเห็นผลประโยชน์ที่จะได้รับว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาขัดแย้งระหว่างกันได้โดยสะดวกรวดเร็ว ไม่สิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่าย พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ. 2530 มาตรา 22 วรรคหนึ่ง จึงบัญญัติให้คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นที่สุดและผูกพันคู่กรณี เพียงแต่ไม่มีสภาพบังคับเท่านั้น ดังนั้นหากคู่กรณีฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้ว คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจึงต้องร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจ เพื่อให้มีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก่อนจึงบังคับให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามได้ ทั้งนี้ก็ด้วยกฎหมายมีวัตถุประสงค์ให้ศาลได้ทบทวนกระบวนการพิจารณาและคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหาสาเหตุที่คู่กรณีอีกฝ่ายที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม ทั้ง ๆ ที่ต่างฝ่ายตกลงกันยอมให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างกันแล้วตั้งแต่ต้น ซึ่งการที่ศาลต้องทบทวนหาสาเหตุดังกล่าวก็คือการที่ต้องพิจารณาว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชอบด้วยกฎหมายที่จะบังคับแก่ข้อพิพาทหรือไม่ หรือเป็นคำชี้ขาดที่เกิดจากการกระทำหรือวิธีการอันมิชอบอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่ หรือเป็นคำชี้ขาดมิได้อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการที่มีผลผูกพันตามกฎหมายหรือคำขอของคู่กรณีหรือไม่ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ดังที่ผู้คัดค้านฎีกานั่นเอง ดังนั้นการที่พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 23 วรรคสอง บังคับให้ศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำพิพากษาตามหรือปฏิเสธคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ก็เพื่อที่จะให้รับฟังข้ออ้างหรือข้อเถียงของแต่ละฝ่ายเป็นที่ชัดแจ้งก่อน จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่จะต้องเสนอข้อเท็จจริงต่อศาล โดยการนำพยานหลักฐานเข้าสืบตามข้ออ้างหรือข้อเถียงของฝ่ายตนเพื่อให้ศาลได้รับฟังวินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนได้ความว่า ทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างอ้างระบุพยานมีชื่อผู้เป็นอนุญาโตตุลาการเป็นพยานฝ่ายตน แต่กลับไม่มีฝ่ายใดนำเข้าเบิกความเป็นพยานฝ่ายตนเลย ทำให้เห็นว่าผู้คัดค้านไม่ติดใจที่จะสืบตัวผู้เป็นอนุญาโตตุลาการ ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่ได้ไต่สวนตัวผู้เป็นอนุญาโตตุลาการก่อนเป็นการไม่ชอบนั้นจึงไม่อาจรับฟังได้เพราะไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องเรียกตัวผู้เป็นอนุญาโตตุลาการมาไต่สวนด้วยก่อนมีคำพิพากษาแต่อย่างใด การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีโดยไม่มีการนำสืบตัวผู้เป็นอนุญาโตตุลาการนั้นจึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า อุทธรณ์ของผู้คัดค้านต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 หรือไม่ ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 มิได้บัญญัติไม่ให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแต่อย่างใด จะเห็นได้จากที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เว้นแต่ (1) มีข้ออ้างแสดงว่าอนุญาโตตุลาการหรือผู้ชี้ขาดมิได้กระทำโดยสุจริตหรือคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้กลฉ้อฉล” และคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะทุนทรัพย์พิพาทกันในคดีมีจำนวนเงิน 29,924,755.05 บาท เมื่อผู้คัดค้านอุทธรณ์แสดงเหตุว่าอนุญาโตตุลาการมิได้กระทำโดยสุจริตหรือผู้ร้องใช้กลฉ้อฉลเพื่อให้เห็นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่มีผลบังคับผู้คัดค้าน นอกจากนี้การที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็เป็นการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530มาตรา 26(2) อุทธรณ์ของผู้คัดค้านจึงไม่ต้องห้ามดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้นเห็นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้นถือว่าเป็นที่สุดและผูกพันคู่กรณีเป็นแต่หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้ว ยังไม่อาจที่จะบังคับได้จนกว่าจะได้มีการนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อให้คำพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก่อน ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นไต่สวนมีคำพิพากษาตามหรือปฏิเสธคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้ว จึงห้ามอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ทั้งนี้ไม่ต้องคำนึงว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด เว้นแต่การอุทธรณ์นั้นจะเป็นไปตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 26(1) (2) (3) (4) (5) จึงจะอุทธรณ์ได้ คือ (1) มีข้ออ้างแสดงว่าอนุญาโตตุลาการหรือผู้ชี้ขาดมิได้กระทำโดยสุจริต หรือคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้กลฉ้อฉล (2) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นฝ่าฝืนต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน (3) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นไม่ตรงกับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ (4) ผู้พิพากษาซึ่งไต่สวนคดีนั้นมีความเห็นแย้ง หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือ (5) เป็นคำสั่งที่เกี่ยวด้วยการใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่กรณีในระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 18 ดังนี้ การที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า อนุญาโตตุลาการกับผู้ร้องหลอกลวงให้มีการสืบพยานบุคคลแทนที่จะพิจารณาชี้ขาดตามเอกสารที่มีอยู่เป็นการรับฟังพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารอันฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ที่แสดงว่าอนุญาโตตุลาการมีความประสงค์จะใช้ข้ออ้างในคำเบิกความของพยานที่เป็นเท็จของนายพงษ์ศักดิ์ ตังหงส์ มากล่าวอ้างหักล้างพยานเอกสารตามแผนการที่อนุญาโตตุลาการได้สมคบผู้ร้องไว้แล้วตั้งแต่เมื่อเริ่มต้นคดีชั้นอนุญาโตตุลาการ เพื่อประสงค์เพียงอย่างเดียวคือให้ฝ่ายผู้ร้องชนะนั่นเอง เป็นกรณีที่ผู้คัดค้านอ้างว่าอนุญาโตตุลาการกระทำการไม่สุจริตและผู้ร้องใช้กลฉ้อฉล คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่ชอบ ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ได้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 26(1) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นอุทธรณ์ต้องห้าม ไม่รับวินิจฉัยให้ผู้คัดค้านนั้นจึงเป็นการไม่ชอบ แต่เพื่อไม่ให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างล่าช้าประกอบกับผู้คัดค้านได้ฎีกาปัญหาดังกล่าวขึ้นมาด้วยแล้ว ศาลฎีกาแผนกทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ จึงเห็นควรวินิจฉัยคดีให้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาก่อนแต่อย่างใดตามปัญหาดังกล่าวนี้ได้ความว่าทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านได้ตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นมาร่วมพิจารณาข้อพิพาทฝ่ายละคนคือ ผู้ร้องตั้งนายสม อินทร์พยุง สำหรับผู้คัดค้านตั้งนายสุรพล อัศวศิรโยธิน โดยทั้งนายสมและนายสุรพลได้ร่วมกันตั้งนายพจน์ อิงคนินันท์ ร่วมเป็นอนุญาโตตุลาการอีกผู้หนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้คัดค้านอนุญาโตตุลาการของฝ่ายผู้ร้องและอนุญาโตตุลาการร่วมดังกล่าวเลย นอกจากนี้ในชั้นพิจารณาของอนุญาโตตุลาการทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างตั้งทนายความเป็นผู้เข้าดำเนินการแทนด้วยการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการนั้นตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ก่อนจะทำการชี้ขาด ให้อนุญาโตตุลาการฟังคู่กรณี และมีอำนาจทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควรในข้อพิพาทที่เสนอมานั้น” และวรรคสองว่า”ในกรณีที่สัญญาอนุญาโตตุลาการหรือกฎหมายมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นให้อนุญาโตตุลาการมีอำนาจดำเนินวิธีพิจารณาใด ๆ ตามที่เห็นสมควรโดยคำนึงถึงหลักแห่งความยุติธรรมเป็นสำคัญ” ซึ่งจะเห็นได้ว่าในการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการนั้น บทบัญญัติดังกล่าวได้วางหลักไว้อย่างกว้าง ๆ ที่อนุญาโตตุลาการจะดำเนินการพิจารณา ให้เป็นไปด้วยความยุติธรรมให้สมกับเจตนารมณ์ของคู่กรณีที่ต้องการให้ข้อพิพาทยุติไปด้วยความรวดเร็วไม่สิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายซึ่งทางนำสืบของผู้คัดค้านตามคำเบิกความของนายโฮเช่ เอ็ม ทาเปีย – รัวโน พยานผู้คัดค้านที่มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการด้านส่งออกอาวุโสและที่ปรึกษากฎหมายของผู้คัดค้าน ก็ไม่ได้ความว่าอนุญาโตตุลาการได้กระทำการอย่างใดเป็นการร่วมกันไม่สุจริต หรือผู้ร้องใช้กลฉ้อฉลใด ๆ ที่ทำให้อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องชนะคดี แต่กลับได้ความว่านายโฮเช่ เอ็ม ทาเปีย – รัวโน เข้าร่วมการฟังการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการทุกนัดทั้งเบิกความรับว่าในการพิจารณาคดีของอนุญาโตตุลาการนั้นผู้ร้องและผู้คัดค้านมีโอกาสนำพยานเข้าสืบเช่นเดียวกับการพิจารณาคดีในชั้นศาล จึงแสดงว่าอนุญาโตตุลาการได้ให้โอกาสแก่ผู้ร้องและผู้คัดค้านได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบได้อย่างเต็มที่แล้ว ทั้งตามสำนวนการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการก็ไม่ปรากฏมีเหตุพิรุธใด ๆ ที่จะให้รับฟังว่าอนุญาโตตุลาการได้กระทำการโดยไม่สุจริตหรือผู้ร้องใช้กลฉ้อฉล การที่อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ได้ในทางพิจารณาดังกล่าวนั้นเป็นดุลพินิจที่จะกระทำได้โดยชอบ ซึ่งตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก็ให้ผู้ร้องชนะคดีเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่เต็มตามคำขอ พฤติการณ์การกระทำของอนุญาโตตุลาการหรือผู้ร้องในชั้นพิจารณาของอนุญาโตตุลาการตามทางนำสืบของผู้คัดค้านไม่อาจให้รับฟังได้ว่าอนุญาโตตุลาการกระทำการโดยไม่สุจริตหรือผู้ร้องใช้กลฉ้อฉลดังที่ผู้คัดค้านฎีกาแต่อย่างใด ส่วนปัญหาว่า คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ก็เช่นกันที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับผู้คัดค้านตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมาจากมูลเหตุข้อพิพาทเกี่ยวกับการผิดสัญญาซื้อขายมีจำนวนเงินเกินกว่า 500 บาท เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้รับผิดเป็นสำคัญแล้ว จะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ สัญญาซื้อขายที่ผู้ร้องอ้างฟ้องร้องผู้คัดค้านนั้นไม่อาจที่จะนำมาฟ้องร้องได้ เพราะผู้คัดค้านมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาซึ่งตามแนวทางการค้าระหว่างประเทศนั้น สัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอของผู้ร้องเท่านั้นการซื้อขายจริงจะต้องมีการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเข้ามาและมีการซื้อขายเป็นครั้งตามที่เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต หากไม่มีการตั้งอนุญาโตตุลาการแล้ว ผู้ร้องก็ไม่อาจที่จะนำคดีมาฟ้องร้องบังคับผู้คัดค้านได้ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ก็เป็นการอุทธรณ์ที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้างว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน คือฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ไม่อาจที่จะบังคับผู้คัดค้านได้นั่นเองจึงหาเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้าน ย่อมเป็นการไม่ชอบ แต่เพื่อไม่ให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างล่าช้า ประกอบกับผู้คัดค้านได้ฎีกาปัญหาดังกล่าวขึ้นมาด้วยแล้วศาลฎีกาแผนกทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงเห็นควรวินิจฉัยคดีให้โดยไม่จำต้องย้อนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาก่อน ตามปัญหาดังกล่าวแม้การซื้อขายที่มีราคาเกินกว่า 500 บาทมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับผิดเป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ดังที่ผู้คัดค้านฎีกาก็ตามแต่บทบัญญัติดังกล่าวก็หาใช่เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ เพราะสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้านได้เกิดขึ้นแล้วโดยชอบ เพียงแต่จะฟ้องร้องบังคับกันได้หรือไม่จำต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น นอกจากนี้คำคัดค้านของผู้คัดค้านในชั้นอนุญาโตตุลาการตามเอกสารหมาย จ.6 ผู้คัดค้านมิได้ยกข้ออ้างที่ว่าการตกลงซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านมิได้ยกข้ออ้างที่ว่าการตกลงซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้คัดค้านไว้เป็นสำคัญที่ผู้ร้องไม่อาจยกขึ้นบังคับดังกล่าวแต่อย่างใด การที่อนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยความผูกพันระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเฉพาะเรื่องความรับผิดในการที่ผู้คัดค้านเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายแล้วมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้อง จึงเป็นการชอบแล้ว เมื่อผู้คัดค้านไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยที่ผู้คัดค้านก็ยอมรับในคำคัดค้านของผู้คัดค้านตามเอกสารหมาย จ.6 ว่าจะยอมผูกพันตนตามคำสั่งกระบวนพิจารณาและกฎระเบียบของข้อบังคับอนุญาโตตุลาการ จนเป็นเหตุให้ผู้ร้องนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่จะใช้บังคับผู้คัดค้านต่อไป ซึ่งศาลชั้นต้นได้ไต่สวนและมีคำสั่งมานั้นเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 ที่บัญญัติไว้โดยชอบแล้ววินิจฉัยมาแต่ต้น คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่มีส่วนใดขัดต่อบทกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังเช่นที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้างแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาแผนกทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นด้วยในผล ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”

พิพากษายืน

Share