คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4846/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ข้อตกลงในการใช้บัตรหลักและบัตรเสริมจะให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้โดยหักจากบัญชีออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวันที่เปิดไว้เพื่อการนี้ การที่จำเลยขอใช้บัตรเครดิตของธนาคารโจทก์ก็เพื่อนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ แทนเงินสดเป็นสำคัญโดยให้โจทก์ออกเงินชำระแทนไปก่อน บัญชีที่เปิดไว้ก็เพียงเพื่อให้โจทก์หักเงินไปชำระหนี้หาใช่บัญชีหักทอนหนี้สินระหว่างกันอย่างบัญชีเดินสะพัดไม่ เพราะจำเลยมีแต่เป็นลูกหนี้โจทก์ฝ่ายเดียวไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ด้วย รวมทั้งไม่มีหน้าที่ต้องนำเงินฝากเข้าบัญชีก่อนซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการ และมิได้มีข้อสัญญาให้จำเลยถอนเงินเกินบัญชีด้วยเช็คแม้ตามคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตจะมีข้อความตกลงให้บัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัดก็เป็นเพียงความเข้าใจและเป็นไปตามรูปแบบของสัญญาสำเร็จรูปของโจทก์ ไม่เข้าลักษณะบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น เมื่อคำให้การเดิมจำเลยมิได้ยืนยันให้การต่อสู้คดีในเรื่องมีการฉ้อฉลทำรายการเพิ่มเติมในใบแจ้งหนี้ของโจทก์รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบตามข้อต่อสู้ดังกล่าว เท่ากับไม่มีข้ออ้างหรือข้อเถียงเป็นประเด็นข้อพิพาท ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่ามีการฉ้อฉลทำรายการเพิ่มเติมในใบแจ้งหนี้ของโจทก์โดยไม่สุจริต จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่จำเลยไม่ได้ยกเหตุว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ แม้จำเลยจะขออนุญาตเบิกความเพิ่มเติมไว้ต่อศาลว่าคดีขาดอายุความ ก็ไม่ทำให้เกิดประเด็นขึ้น เพราะเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตโพธิ์ทอง และขอให้ออกบัตรเสริมให้นางสาวจิรายุ สุวัณณาคาร บุตรจำเลยเพื่อนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ แทนเงินสดแก่ร้านค้าหรือสถานที่ให้บริการหรือสำนักงานที่เป็นสมาชิกของโจทก์หรือใช้เบิกเงินสด ณ ธนาคารโจทก์และธนาคารอื่นที่เป็นสมาชิกร่วมกับโจทก์ จำเลยขอให้โจทก์ออกเงินชำระหนี้แทนไปก่อน และจำเลยยินยอมให้โจทก์หักชำระจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เลขที่ 001-2-37252-4 โดยให้ถือว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เป็นบัญชีเดินสะพัด หากเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย ทำให้บัญชีเป็นลูกหนี้โจทก์ จำเลยยอมให้โจทก์ถือว่าเป็นการเบิกเงินเกินบัญชี ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ในอัตราสูงสุดที่เรียกเก็บได้ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาจำเลยกับนางสาวจิรายุ สุวัณณาคาร ได้สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตวีซ่าอีกประเภทหนึ่ง โดยจำเลยยินยอมให้โจทก์หักชำระเงินที่ออกแทนไปก่อนจากบัญชีเดินสะพัดเลขที่ 001-3-23398-5 จำเลยและนางสาวจิรายุ ได้นำบัตรเครดิตโพธิ์ทองและบัตรเครดิตวีซ่าไปซื้อสินค้าและใช้บริการแทนเงินสดและเบิกเงินสดหลายครั้ง ซึ่งโจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินแทนและหักทอนจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวันของจำเลยเรื่อยมาคิดถึงวันที่ 30 กันยายน 2538 มียอดหนี้ตามบัตรเครดิตโพธิ์ทองเป็นเงิน 331,647.45 บาท และหนี้ตามบัตรเครดิตวีซ่าอีกเป็นเงิน 227,529.55 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 559,177 บาท โจทก์ทวงถามและบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2538คิดถึงวันฟ้องจำเลยยังเป็นหนี้ตามบัตรเครดิตโพธิ์ทองและบัตรเครดิตวีซ่าอยู่เป็นเงินรวม 575,201.31 บาท กับดอกเบี้ยอีกเป็นเงิน 27,909.07 บาท รวมเป็นเงิน 603,110.38 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 603,110.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 575,201.31 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การรับว่า จำเลยเป็นสมาชิกการใช้บัตรเครดิตโพธิ์ทองและบัตรเครดิตวีซ่าของโจทก์จริง แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นท่วมต้นเงินหลายเท่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์อาจจะได้ใช้เล่ห์ฉ้อฉลแสดงตัวเลขจำนวนเงินเกินความเป็นจริงอย่างมากมายจนอาจถือได้ว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นผู้หลงเชื่อเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างร้ายแรงอาจเป็นไปได้หรือไม่ที่จำเลยได้ตกเป็นเหยื่อรายหนึ่งของพนักงานธนาคารผู้ทุจริตขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 603,110.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 575,201.31 บาทนับตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2539 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินตามหนี้บัตรเครดิตโพธิ์ทองจำนวน 103,818.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 7 เมษายน 2535 และจำนวน 75,081.60 บาท นับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม2535 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2536 และตามหนี้บัตรเครดิตวีซ่าจำนวน 59,439.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 มีนาคม 2535จำนวน 57,311.20 บาท นับแต่วันที่ 7 เมษายน 2535 และจำนวน 5,000 บาท นับแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2535 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2535 กับดอกเบี้ยของต้นเงินสำหรับหนี้ตามบัตรเครดิตโพธิ์ทองและบัตรเครดิตวีซ่าดังกล่าว รวมกันจำนวน 300,651.10 บาท ในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 กันยายน 2536 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2538ร้อยละ 18.75 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2538 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2538 ร้อยละ19 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2538 ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2538 ร้อยละ 19.25 ต่อปีนับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2538 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2538 และร้อยละ 19.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2538 จนกว่าชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาในข้อกฎหมายของโจทก์ว่าหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ตามบัตรเครดิตโพธิ์ทองและบัตรเครดิตวีซ่าเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยหรือไม่โจทก์ฎีกาว่า ด้านหลังคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตได้ระบุเป็นสัญญาการใช้บัตรเครดิตไว้ในข้อ 2 ว่า หากในบัญชีเดินสะพัดของจำเลยปรากฏยอดเป็นลูกหนี้โจทก์แล้วจำเลยยินยอมให้โจทก์ถือว่าเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีได้และยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดได้ หนี้ที่จำเลยค้างชำระต่อโจทก์จึงเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดโจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ปรากฏว่าคดีสำหรับโจทก์ในชั้นนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเพราะเป็นคดีที่จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฎีกาของโจทก์ไม่เกิน 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงฎีกาได้แต่เฉพาะในข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2532จำเลยได้สมัครเป็นสมาชิกขอใช้บัตรเครดิตโพธิ์ทองและขอให้ออกบัตรเสริมให้นางสาวจิรายุ สุวัณณาคาร บุตรจำเลยเพื่อชำระค่าสินค้าและค่าบริการแทนเงินสดและเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าโดยให้โจทก์หักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เลขที่ 001-2-37252-4 ตามคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 และวันที่ 31 มกราคม 2533 จำเลยและนางสาวจิรายุได้สมัครเป็นสมาชิกขอใช้บัตรเครดิตวีซ่าเพื่อชำระค่าสินค้าและค่าบริการแทนเงินสดและเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าอีก โดยให้โจทก์หักชำระหนี้จากบัญชีเดินสะพัดเลขที่ 001-3-23398-5 ตามคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 จำเลยและนางสาวจิรายุได้ใช้บัตรเครดิตของโจทก์เบิกถอนเงินสดล่วงหน้าและซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการสำหรับบัตรเครดิตโพธิ์ทอง ตามบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เลขที่ 001-2037252-4 ในวันที่7 เมษายน 2535 จำนวน 103,818.70 บาท และวันที่ 6 พฤษภาคม 2535 จำนวน75,081.60 บาท ตามรายการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เอกสารหมาย จ.16 แผ่นที่ 1และสำหรับบัตรเครดิตวีซ่าตามบัญชีเดินสะพัดเลขที่ 001-3-23398-5 ในวันที่6 มีนาคม 2535 จำนวน 59,439.60 บาท วันที่ 7 เมษายน 2535 จำนวน 57,311.20บาท และวันที่ 6 สิงหาคม 2535 จำนวน 5,000 บาท ตามรายการบัญชีเดินสะพัดเอกสารหมาย จ.17 แผ่นที่ 22, 23 และ 27 จำนวนหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องส่วนที่เกินไปจากนี้ล้วนเป็นดอกเบี้ยทั้งสิ้นโดยไม่ปรากฏว่ามีหนี้ที่จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินเกินบัญชีแต่อย่างใด เห็นว่า สัญญาบัญชีเดินสะพัดเป็นสัญญาซึ่งบุคคล 2 คน ตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไป หรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง ให้ตัดทอนบัญชีหนี้หรือหักกลบลบหนี้กันทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นตามบัญชีหนี้ที่ได้จัดทำขึ้น ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 856 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แสดงว่าบุคคลทั้งสองดังกล่าวต่างฝ่ายต่างต้องเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกัน หากฝ่ายใดเป็นเจ้าหนี้หรือเป็นลูกหนี้แต่ฝ่ายเดียว แม้จะมีบัญชีคิดหนี้สินกัน สัญญานั้นก็หาเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดไม่ข้อเท็จจริงที่ยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าจำเลยและนางสาวจิรายุบุตรจำเลยขอใช้บัตรเครดิตโพธิ์ทองและบัตรเครดิตวีซ่าของโจทก์เพื่อนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ แทนเงินสดเป็นสำคัญโดยโจทก์ออกเงินชำระหนี้แทนไปก่อนบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เลขที่ 001-2-37252-4 เป็นเพียงบัญชีเงินฝากที่จำเลยยอมให้โจทก์หักชำระหนี้ตามบัตรเครดิตโพธิ์ทองที่โจทก์จ่ายทดรองไปก่อนเท่านั้นหาใช่บัญชีหักทอนหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยอย่างบัญชีเดินสะพัดไม่ เพราะจำเลยมีแต่เป็นลูกหนี้โจทก์ฝ่ายเดียว หาได้เป็นเจ้าหนี้โจทก์ด้วยแต่อย่างใดไม่ การคิดบัญชีหนี้สินกันตามบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดังกล่าวจึงมิใช่การตัดทอนบัญชีหนี้หรือหักกลบลบหนี้กันอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างโจทก์กับจำเลยแม้ตามคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 จะมีข้อความว่าจำเลยตกลงให้บัญชีออมทรัพย์ดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 856 ก็ไม่ทำให้บัญชีเงินฝากออมทรัพย์นั้นกลายเป็นบัญชีเดินสะพัดไปได้ ส่วนบัญชีเดินสะพัดเลขที่ 001-3-23398-5 ที่จำเลยยอมให้โจทก์หักชำระหนี้ตามบัตรเครดิตวีซ่าที่โจทก์จ่ายทดรองไปก่อนก็มีลักษณะเช่นเดียวกับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดังกล่าว กล่าวคือ มิใช่บัญชีหักทอนหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยอย่างบัญชีเดินสะพัดเพราะจำเลยมีแต่เป็นลูกหนี้โจทก์ฝ่ายเดียว หาได้เป็นเจ้าหนี้ด้วยไมแม้ตามคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 บัญชีดังกล่าวจะเรียกว่าบัญชีเดินสะพัด ก็เป็นบัญชีเดินสะพัดเฉพาะแต่ชื่อเพราะการคิดบัญชีหนี้สินกันตามบัญชีดังกล่าวมิได้มีการตัดทอนบัญชีหนี้หรือหักกลบลบหนี้กันอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างโจทก์กับจำเลยแต่อย่างใด และแม้สัญญาการใช้บัตรเครดิตทั้งสองบัตรดังกล่าวจะระบุว่าหากในบัญชีเดินสะพัดของจำเลยปรากฏยอดเป็นลูกหนี้โจทก์แล้ว จำเลยยินยอมให้โจทก์ถือว่าเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีได้และยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดได้ดังที่โจทก์ฎีกาก็ตามก็ล้วนเป็นข้อสัญญาที่โจทก์เป็นฝ่ายกำหนดขึ้นเองและพิมพ์อยู่ในแบบพิมพ์สำเร็จรูปของโจทก์มาแต่ต้นและโจทก์เข้าใจเช่นนั้นไปเองทั้งสิ้น มิใช่ข้อสัญญาที่เกิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างโจทก์กับจำเลยอย่างจริงจัง สัญญาการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยแต่ฝ่ายเดียว จำเลยมิได้เป็นเจ้าหนี้โจทก์ มิได้มีหน้าที่ต้องนำเงินฝากเข้าบัญชีก่อนซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการ และมิได้มีข้อสัญญาให้จำเลยถอนเงินเกินบัญชีด้วยเช็คแต่อย่างใด แม้จำเลยจะยอมให้โจทก์ถือว่าเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีก็ไม่ทำให้สัญญาการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวกลายเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีไปได้ดังที่โจทก์เข้าใจหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ตามบัตรเครดิตโพธิ์ทองและบัตรเครดิตวีซ่า จึงมิใช่หนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยตามบทบัญญัติมาตรา 655 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์คงคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้แบบไม่ทบต้น ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้วแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามหนี้บัตรเครดิตวีซ่าจำนวน 5,000 บาทนับแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2535 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2535 นั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกเป็นนับแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2535 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2536 ดังที่โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า ได้มีการฉ้อฉลทำรายการเพิ่มต้นเงินในใบแจ้งหนี้ของโจทก์โดยไม่สุจริตหรือไม่ ข้อนี้จำเลยให้การว่า โจทก์อาจจะได้ใช้เล่ห์ฉ้อฉลแสดงตัวเลขจำนวนเงินเกินความเป็นจริงอย่างมากมายจนอาจถือได้ว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นผู้หลงเชื่อเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างร้ายแรง อาจเป็นไปได้หรือไม่ที่จำเลยได้ตกเป็นเหยื่อรายหนึ่งของพนักงานธนาคารผู้ทุจริตเห็นได้ว่า คำให้การของจำเลยดังกล่าวจำเลยมิได้ยืนยันให้การต่อสู้คดีในประเด็นดังกล่าวโดยชัดแจ้งรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบตามข้อต่อสู้ดังกล่าว เท่ากับไม่มีข้ออ้างหรือข้อเถียงเป็นประเด็นข้อพิพาทตามที่จำเลยฎีกา ข้อฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้จำเลยเบิกความถึงปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ถือได้ว่าปัญหาเรื่องอายุความได้มีการยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องภายหลังที่สัญญาบัตรเครดิตได้หมดอายุลงตั้งแต่ปี 2535 แล้ว จึงเกิน 2 ปี คดีของโจทก์ขาดอายุความจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ชอบที่ศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัยได้ เห็นว่า ประเด็นเรื่องอายุความนั้นจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ ฉะนั้น แม้จำเลยจะขออนุญาตเบิกความเพิ่มเติมต่อศาลว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ก็ไม่ทำให้เกิดเป็นประเด็นขึ้นเพราะเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การ ถือไม่ได้ว่าปัญหาเรื่องอายุความเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินตามหนี้บัตรเครดิตวีซ่าจำนวน 5,000 บาทนับแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2535 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2536 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share