แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ใบสำคัญการรับเงินค่าชดเชยเอกสารหมาย ล.2 โจทก์เป็นผู้ทำและกรอกข้อความเองทั้งหมดพอตีความในเนื้อความดังกล่าวได้ว่า โจทก์มีเจตนายอมรับในการที่จำเลยเลิกจ้างและค่าชดเชยที่จำเลยเสนอให้แม้เอกสารหมาย ล.2 ไม่มีข้อความว่าโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกเงินไว้ก็ตาม แต่ที่โจทก์ยอมทำเอกสารหมาย ล.2ตามข้อเสนอของจำเลยย่อมตีเจตนาของโจทก์ได้ว่าโจทก์ยอมรับค่าชดเชยที่จำเลยเสนอและโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นอีก และการแถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงาน ซึ่งโจทก์รับว่าได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่โต้เถียงเกี่ยวกับการสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยอีกตามที่จำเลยอ้าง แสดงว่าข้อกล่าวอ้างของ จำเลยดังกล่าวนั้นมีจริงเมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งต้องถือว่าโจทก์ยอมรับนั้น ศาลแรงงานได้วินิจฉัยแล้วว่าเอกสารหมาย ล.2 ไม่ปรากฏข้อความว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยทั้งสิ้นดังที่จำเลยให้การ แม้โจทก์จะแถลงรับว่าโจทก์ได้รับเงินค่าชดเชยตามที่จำเลยจ่าย3 เดือน โดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างเดือนละ 10,224 บาทก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย ส่วนที่ขาดและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อุทธรณ์จำเลยดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน เป็นอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไป ตามนั้น ซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุโลม ใช้กับคดีแรงงานด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ดังนี้การที่ศาลแรงงานสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสาร ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับเพียงพอที่จะฟังเป็นยุติ และพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัย คดีตามที่คู่ความรับกัน ถือได้ว่าศาลแรงงานได้ใช้ดุลพินิจ วิเคราะห์พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริง ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2538 จำเลยรับโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงิน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 12,780 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 28 ของเดือนต่อมาวันที่ 31 มีนาคม 2541 จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าเศรษฐกิจไม่ดี และจำเลยประสบภาวะขาดทุน โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายนอกจากนี้จำเลยจ่ายค่าจ้างในเดือนมีนาคม 2541 ให้โจทก์เพียง 10,224 บาท คงค้างอยู่2,556 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 38,340 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 24,708 บาท และค่าจ้างค้าง2,556 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,224 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะจำเลยประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย โจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดนอกจากค่าชดเชย 3 เดือนของค่าจ้างอัตราสุดท้าย และโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2538 ตำแหน่งหน้าที่การเงิน กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 31 มีนาคม 2541 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ประกอบกับจำเลยขาดทุนตามเอกสารหมาย ล.1
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า แม้โจทก์เป็นผู้จัดทำใบสำคัญการรับเงินเอกสารหมาย ล.2 แต่เอกสารดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยดังที่จำเลยให้การ แม้โจทก์จะแถลงรับว่าโจทก์ได้รับค่าชดเชยตามที่จำเลยจ่าย 3 เดือน โดยคำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,224 บาท ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยส่วนที่ขาดและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า การที่จำเลยจ่ายค่าชดเชยโดยไม่คำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่โจทก์มีสิทธิได้รับเดือนละ 12,780 บาท จึงไม่ชอบ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ค้าง 2,556 บาท ค่าชดเชยส่วนที่ขาด 7,668 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 12,780 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าใบสำคัญการรับเงินค่าชดเชยเอกสารหมาย ล.2 โจทก์เป็นผู้ทำและกรอกข้อความเองทั้งหมด พอตีความในเนื้อความดังกล่าวได้ว่า โจทก์มีเจตนายอมรับในการที่จำเลยเลิกจ้างและค่าชดเชยที่จำเลยเสนอให้ โดยคำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,224 บาท แม้เอกสารหมาย ล.2 ไม่มีข้อความว่าโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกเงินไว้ก็ตาม แต่ที่โจทก์ยอมทำเอกสารหมาย ล.2 ตามข้อเสนอของจำเลยย่อมตีเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ยอมรับค่าชดเชยที่จำเลยเสนอให้โดยคำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,224 บาท และโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นอีก และการแถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2541ซึ่งโจทก์รับว่าได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายครบถ้วนแล้วแต่โจทก์ไม่โต้เถียงเกี่ยวกับการสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยอีกตามที่จำเลยอ้าง แสดงว่าข้อกล่าวอ้างของจำเลยดังกล่าวนั้นมีจริง เมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งต้องถือว่าโจทก์ยอมรับ เห็นว่า ประเด็นนี้ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่าเอกสารหมาย ล.2 ไม่ปรากฏข้อความว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยทั้งสิ้นดังที่จำเลยให้การ แม้โจทก์จะแถลงรับว่าโจทก์ได้รับเงินค่าชดเชยตามที่จำเลยจ่าย 3 เดือน โดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างเดือนละ 10,224 บาท ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยส่วนที่ขาดและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าอุทธรณ์จำเลยดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่ศาลแรงงานกลางสอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยและสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาไปเป็นการมิชอบด้วยวิธีพิจารณาเนื่องจากตามคำให้การจำเลยมีประเด็นที่อาจนำสืบได้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งหากจำเลยมีโอกาสนำสืบพยานได้แล้ว จำเลยอาจไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามฟ้องนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้นซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุโลมใช้กับคดีแรงงานด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 การที่ศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสารในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับเพียงพอที่จะฟังเป็นยุติและพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกัน ถือได้ว่าศาลแรงงานกลางได้ใช้ดุลพินิจวิเคราะห์พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นการชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความ ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน