คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 ถูกควบคุมตัวระหว่างการพิจารณาคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นกรณีที่ศาลใช้อำนาจ ตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ มาตรา 10 ที่ให้สั่งขังจำเลยไว้มิใช่สั่งจำคุก จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือถูกจำคุกตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจึงมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ตามคำร้องของ จำเลยที่ 2 ระบุว่า โจทก์และเจ้าพนักงาน บังคับคดีคบคิดกันฉ้อฉลแกล้งประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่ำกว่าความเป็นจริง ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิก หมายบังคับคดีและเพิกถอนการยึดที่ดินกับให้งดการบังคับคดี เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิก กระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวง จึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 296 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งจะต้องยื่นไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันทราบการฝ่าฝืน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 52,646,575.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน จำนวน 50,000,000 บาทนับถัดจากวันฟ้อง (31 มกราคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จหากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2561-2572 ตำบลบัวสลีอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท โจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับเพื่อแจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นออกคำบังคับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2538แจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นให้แก่โจทก์ภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับคำบังคับ ครั้นครบกำหนดเวลาตามคำบังคับ จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามโจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2539 และต่อมาวันที่ 4 เมษายน 2539 เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวข้างต้น เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า การส่งคำบังคับให้จำเลยที่ 2 ทราบที่บ้านเลขที่ 150 ถนนนิตโย ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนมจังหวัดนครพนม ไม่ชอบ เพราะขณะที่มีการส่งคำบังคับนั้นจำเลยที่ 2 ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในคดีหมายเลขแดงที่ ผ.9/2538 ระหว่าง พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์นายทนง ศิริปรีชาพงษ์ (จำเลยที่ 2คดีนี้) จำเลย ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับและทราบคำบังคับแต่อย่างใด การออกหมายบังคับคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อการออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมาย การดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขณะที่มีการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ยึดทรัพย์ด้วย เพราะถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2539 และเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้แสดงหมายบังคับคดีให้จำเลยที่ 2 หรือผู้ดูแลสถานที่ซึ่งถูกยึดทราบก่อนดำเนินการบังคับคดีแต่อย่างใด ทั้งเมื่อยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 แล้วไม่แจ้งการยึดให้จำเลยที่ 2 และเจ้าพนักงานที่ดินทราบ ประกอบกับโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้สมคบกันประเมินราคาที่ดินต่ำกว่าความเป็นจริงมาก โดยประเมินราคาที่ดินที่ยึดทั้ง 12 แปลง เป็นเงินเพียง 59,363,250 บาท ซึ่งความจริงแล้วที่ดินดังกล่าวมีราคาสูงถึง 127,114,400 บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีและเพิกถอนการยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 กับให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ได้ส่งคำบังคับให้จำเลยที่ 2 ทราบณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้จำเลยที่ 2จะไม่ได้อยู่บริเวณสถานที่ดังกล่าวด้วย ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการยึดทรัพย์จะต้องกระทำต่อหน้าจำเลยที่ 2 แต่อย่างใดข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ 2 ที่ว่าเมื่อมีการยึดที่ดินแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งการยึดให้จำเลยที่ 2 และเจ้าพนักงานที่ดินทราบนั้นเลื่อนลอย โจทก์ไม่ได้สมคบกับเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินที่ยึดให้มีราคาต่ำกว่าความเป็นจริงขอให้ยกคำร้องและขอให้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์คดีนี้ซึ่งอาจจะต้องกระทำใหม่ โดยให้วางเป็นค่าใช้จ่ายต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของ จำเลยที่ 2และยกคำขอตามคำคัดค้านของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 2รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ซึ่งอาจจะต้องกระทำใหม่
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิฉัย ว่า “จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ขณะส่งคำบังคับจำเลยที่ 2 ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในคดีหมายเลขแดงที่ ผ.9/2538 เรื่อง ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนปรากฏตามเอกสารหมาย ร.1 เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 การส่งคำบังคับให้จำเลยที่ 2ที่บ้านเลขที่ 150 ถนนนิตโย ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนมจังหวัดนครพนม จึงไม่ชอบ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ถูกควบคุมตัวระหว่างการพิจารณาคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นกรณีที่ศาลใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน มาตรา 10ที่ให้สั่งขังจำเลยไว้มิใช่สั่งจำคุก จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือถูกจำคุกตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2การส่งคำบังคับให้จำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 150 ถนนนิตโยตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม จึงชอบแล้วที่จำเลยที่ 2 ฎีกาประการต่อมาว่าจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอ้างว่าโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีคบคิดกันฉ้อฉลแกล้งประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่ำกว่าความเป็นจริงทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองที่จะต้องยื่นคำคัดค้านภายใน 8 วันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอ้างเหตุดังกล่าวและมีคำขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีและสั่งเพิกถอนการยึดที่ดินกับให้งดการบังคับคดีเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงต้องตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง บัญญัติซึ่งจะต้องยื่นไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันทราบการฝ่าฝืน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้วฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ว่าการที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ 2 ที่ศาลจังหวัดเชียงรายเป็นการไม่ชอบนั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน

Share