คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1588/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกจำเลยมาให้การ ในวันเดียวกันกับวันนัดสืบพยานโจทก์โดยกำหนดให้โจทก์ นำส่งหมายภายใน 7 วัน หากไม่มีผู้รับหมายเรียกโดยชอบให้ปิดหมาย โจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่งศาลแล้ว เมื่อนับตั้งแต่วัน ฟังคำสั่งศาลชั้นต้น จนถึงวันที่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดี โจทก์จากสารบบความ เป็นเวลานานถึง 48 วัน แสดงว่าโจทก์ เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ เพื่อการนั้นโดยชอบ จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) โจทก์ปล่อยปละละเลยไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลจนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี โจทก์จึงมายื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นทบทวนคำสั่งจำหน่ายคดีแต่คำร้อง ของ โจทก์ดังกล่าวก็หาได้แสดงเหตุอันสมควรให้เห็นว่า กรณีมีพฤติการณ์พิเศษหรือเป็นกรณีที่มีเหตุ สุดวิสัยอย่างใดที่ทำให้โจทก์ไม่สามารถดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด กลับอ้างแต่เพียงความพลั้งเผลอหรือ หลงลืมของโจทก์เท่านั้น ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์จากสารบบความจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341, 352 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งว่าคดีโจทก์ทั้งสองมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1จึงให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 หมายเรียกจำเลยที่ 1 มาให้การในวันเดียวกับวันนัดสืบพยานโจทก์ให้โจทก์ทั้งสองนำส่งหมายภายใน 7 วัน แต่โจทก์ทั้งสองเพิกเฉยไม่นำส่งตามคำสั่งศาลพ้นกำหนดระยะเวลา ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองออกเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2)
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองนำส่งหมายเรียกจำเลยที่ 1 มาให้การในวันเดียวกันกับวันนัดสืบพยานโจทก์โดยกำหนดให้โจทก์ทั้งสองนำส่งหมายภายใน 7 วันหากไม่มีผู้รับหมายเรียกโดยชอบให้ปิดหมาย โจทก์ทั้งสองโดยทนายโจทก์ทั้งสองลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่งศาล ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2540 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทั้งสองเพิกเฉยไม่ส่งหมายเรียกแก่จำเลยที่ 1 ภายใน 7 วัน จึงถือว่าโจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองเสียจากสารบบความ
คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ทั้งสองว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) และ 174(2) นั้นชอบหรือไม่ และโจทก์ทั้งสองมีเหตุที่จะขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและยกคดีโจทก์ทั้งสองขึ้นพิจารณาใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามคำร้อง ของ โจทก์ทั้งสองลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2540 แม้จะระบุว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้ส่งหมายเรียกแก่จำเลยที่ 1 ตามคำสั่งศาลชั้นต้นโดยไม่มีเจตนาที่จะไม่ส่งแต่อย่างไรแต่เป็นด้วยความพลั้งเผลอของโจทก์ทั้งสองนั้นถ้านับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2540 อันเป็นวันฟังคำสั่งศาลชั้นต้นจนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2540 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองจากสารบบความ เป็นเวลานานถึง 48 วันแสดงว่าหลังจากครบกำหนด 7 วัน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองนำส่งหมายเรียกแก่จำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ทั้งสองคงเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบ จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) เมื่อโจทก์ทั้งสองปล่อยปละละเลยไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลจนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจึงมายื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นทบทวนคำสั่งจำหน่ายคดีโดยมีคำร้อง ของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวนั้นก็หาได้แสดงเหตุอันสมควรให้เห็นว่ากรณีมีพฤติการณ์พิเศษหรือเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยอย่างใดที่ทำให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด กลับอ้างแต่เพียงความพลั้งเผลอหรือหลงลืมของโจทก์ทั้งสองเท่านั้น ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองจากสารบบความและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามมานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share