คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์กับพวกรวม 5 คน ฟ้องจำเลยให้แบ่งที่ดินมรดก ตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 803 โดยอ้างว่าโจทก์กับพวกเป็นทายาท ขอแบ่งมรดกจากจำเลย ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยให้แบ่งที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 803 โดยอ้างว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกโดยการครอบครอง เนื่องจากทายาทอื่นและจำเลยมิได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนนี้ และมิได้ฟ้องขอแบ่งมรดกภายในเวลา 1 ปี นับแต่เจ้ามรดก ถึงแก่ความตาย ประเด็นสำคัญแห่งคดีก่อนจึงมีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินมรดกเพียงใด และคดีนี้ ศาลก็คงต้องวินิจฉัยอีกว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเพียงใด ดังนั้น คดีนี้ จึงมีประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อน เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 803ตำบลบางเดชะ อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ด้านทิศใต้เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวา ให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกให้ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า เมื่อคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 630/2535ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว โจทก์ฟ้องจำเลยอีกตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 54/2538 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 333/2533 ของศาลชั้นต้นคดีถึงที่สุดแล้วเช่นกัน และคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 630/2535 ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวมทั้งหมด 6 คนเมื่อบิดามารดาตายแล้ว จำเลยได้รับโอนที่ดินมรดกตามโฉนดที่ดินเลขที่ 803 ตำบลบางเดชะ อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรีต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 333/2533 และคดีถึงที่สุดแล้วครั้นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2534 โจทก์และพี่น้องอีก 4 คนฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทจากจำเลย โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางทรัพย์ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ 153 เศษ 1 ส่วน 3 ตารางวา ส่วนพี่น้องอีก 4 คน ให้ยกฟ้อง ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 630/2535 และคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2537 โจทก์ฟ้องจำเลยให้แบ่งที่ดินพิพาท ด้านทิศใต้ เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวา ให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 333/2533 ของศาลชั้นต้น ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 54/2538 และคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้วเช่นกัน ครั้นวันที่ 26 เมษายน 2538 โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 630/2535 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์ฎีกาว่าสิทธิของโจทก์ที่ยื่นฟ้องในคดีหลังเป็นสิทธิคนละประเภทกับคดีก่อนและเป็นคนละประเด็นกัน เห็นว่าในคดีก่อน โจทก์กับพวกรวม 5 คนฟ้องจำเลยให้แบ่งที่ดินมรดกตามโฉนดที่ดินเลขที่ 803 โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าโจทก์กับพวกดังกล่าวเป็นทายาทขอแบ่งมรดกจากจำเลย ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยให้แบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 803 โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกโดยการครอบครองเนื่องจากทายาทอื่นและจำเลยมิได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนนี้และมิได้ฟ้องขอแบ่งมรดกภายในเวลา 1 ปี นับแต่นางทรัพย์เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนี้ประเด็นสำคัญแห่งคดีดังกล่าวจึงมีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินมรดกเพียงใด การที่โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าโจทก์ได้ครอบครองทรัพย์มรดกจนได้กรรมสิทธิ์เกินกว่าส่วนที่ตนมีสิทธิได้รับตามคำพิพากษาของศาลที่ได้วินิจฉัยไว้ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกในที่ดินพิพาทเพียงใดนั้น แม้จะเป็นการเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงที่โจทก์เคยฟ้องระบุว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทอีก 4 คนและต่อมาทายาทดังกล่าวก็ได้สละสิทธิที่จะพึงได้ให้แก่โจทก์แล้วและโจทก์กับทายาททั้ง 4 คน ก็ยังร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอรับมรดก และให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทแก่พวกตนทุกคนตามส่วนก็ตาม แต่ศาลก็คงต้องวินิจฉัยอีกว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเพียงใด ดังนั้น คดีนี้จึงมีประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 630/2535 ของศาลชั้นต้น จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share