คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5088/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่า จำเลยไม่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และหนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยมิต้องรับผิด ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือรับสภาพหนี้มีจำเลยลงลายมือชื่อเพียงฝ่ายเดียว โดยโจทก์มิได้สนองตอบในข้อสัญญาและจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 3,827 บาท จึงเป็นการกล่าวอ้างยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่าง เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
เมื่อมูลหนี้เดิมขาดอายุความแล้ว จำเลยได้ทำสัญญารับสภาพความรับผิด ถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์แล้วสัญญารับสภาพความรับผิดย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับ จึงต้องนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันทำสัญญารับสภาพความรับผิดเป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงิน ๒๘,๗๓๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามหนังสือรับสภาพหนี้
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ หนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๘,๗๓๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันแล้วฟังได้ว่า จำเลยได้ทำหนังสือเอกสารหมาย จ.๑ ให้แก่โจทก์ ข้อความตามเอกสารดังกล่าวระบุว่า จำเลยยอมชำระเงินแก่โจทก์ทั้งหมด ๒๘,๗๓๗ บาท เอกสารหมาย จ.๑ จึงเป็นหนังสือรับสภาพความรับผิดที่จำเลยฎีกาว่า ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.๑ มีจำเลยลงลายมือชื่อเพียงฝ่ายเดียว โดยโจทก์มิได้สนองตอบในข้อสัญญาแต่อย่างใดจึงไม่มีผลใช้บังคับได้ และจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง ๓,๘๒๗ บาท โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเกินกว่าจำนวนดังกล่าว นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่า จำเลยไม่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้หนังสือเอกสารหมาย จ.๑ ไม่มีข้อความที่แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยมิต้องรับผิด ดังนั้น ที่จำเลยกล่าวในฎีกาว่า “ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.๑ มีจำเลยลงลายมือชื่อเพียงฝ่ายเดียวโดยโจทก์มิได้สนองตอบในข้อสัญญาแต่อย่างใด และจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง ๓,๘๒๗ บาท” นั้น ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่างเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงแม้จะฟังได้ตามคำให้การของจำเลยว่ามูลหนี้เดิมขาดอายุความแล้ว ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญารับสภาพความรับผิดเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗ ตามเอกสารหมาย จ.๑ ถือได้ว่า จำเลยได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์แล้ว สัญญาดังกล่าวย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๘ วรรคสาม ๑๙๒ วรรคแรก จึงต้องนับอายุความใหม่ นับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไป ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share