คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 835/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมทั้งที่พิพาทเมื่อปี 2504 โดยไม่ทราบว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ แม้หนังสือรับรองการทำประโยชน์จะออกทับที่พิพาทแต่จำเลยทั้งสองก็ได้ครอบครองตั้งแต่ปี 2504ด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมา 20 ปีแล้วจึงได้กรรมสิทธิ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดซึ่งเดิมเป็นของมารดาโจทก์ เมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ซึ่งเป็นทายาทได้รับมรดกและถือกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตั้งแต่เมื่อวันที่5 มีนาคม 2517 ต่อมาเมื่อปี 2520 โจทก์ยอมให้จำเลยทั้งสองอาศัยทำนาเป็นเวลา 5 ปี แต่เมื่อครบกำหนดจำเลยทั้งสองไม่ยอมออก ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2525 โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตจำเลยเข้าขัดขวางอ้างว่าที่พิพาทเป็นของตนซื้อจากบุคคลอื่น มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นหลักฐาน ขอศาลบังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโจทก์และชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองโดยซื้อมาจากบุคคลอื่นตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2504 มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นหลักฐาน แล้วจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาถึง 21 ปี โจทก์หรือมารดาโจทก์ไม่เคยโต้แย้ง การที่จำเลยทั้งสองยืนยันแนวเขตที่ดินกับเจ้าพนักงานที่ดินไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทโจทก์หรือมารดาโจทก์มิได้ทำประโยชน์มานาน เป็นเหตุให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าเป็นที่ป่าไม่มีเจ้าของ จึงขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินตามโฉนดที่ดินของโจทก์บางส่วนซึ่งเป็นที่พิพาท จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งรวมทั้งที่พิพาทจากบุคคลอื่นดังกล่าวตั้งแต่เมื่อปี 2504 แล้วครอบครองตลอดมา โดยไม่ทราบว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของฝ่ายโจทก์ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แม้หนังสือรับรองการทำประโยชน์จะออกทับที่พิพาท แต่จำเลยทั้งสองก็ได้ครอบครองตั้งแต่ปี 2504 ด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมา 20 กว่าปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382
พิพากษายืน.

Share