แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในคดีเดิมที่จำเลยขออนุญาตต่อศาลแรงงานกลางเพื่อเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง จำเลยอ้างเหตุแห่งการเลิกจ้างว่าโจทก์แจ้งคุณสมบัติในใบสมัครงานเป็นเท็จทำให้จำเลยเข้าใจผิดในคุณสมบัติของโจทก์ว่า โจทก์ลาออกจากงานที่เคยทำ ต่อมาจำเลยทราบว่าโจทก์ออกจากงานโดยถูกเลิกจ้างเพราะขาดงานเกิน 3 วันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลสมควร เหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ต้องด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ และในคดีเดิมศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ได้กำหนดว่าให้เลิกจ้างตั้งแต่เมื่อใด ทั้งการพิจารณาคำร้องขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าวก็เพียงแต่พิจารณาว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะให้เลิกจ้างโจทก์ได้หรือไม่ เช่นนี้เมื่อจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานกลางให้เลิกจ้างโจทก์ได้แล้ว จำเลยต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการเลิกจ้างโจทก์ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าจำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า ไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้องศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทธรณ์ประการแรกว่าการพิจารณาว่าโจทก์จะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยหรือไม่ต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างคดีนี้จำเลยตกลงรับโจทก์เข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้และโจทก์ตกลงทำงานให้แก่จำเลยเพื่อรับค่าจ้าง โจทก์จำเลยจึงเป็นลูกจ้างนายจ้างกันตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ตามข้อ 46แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในชั้นที่จำเลยขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างต่อศาลแรงงานกลางดังปรากฏในคดีหมายเลขแดงที่2365/2531 ของศาลแรงงานกลางนั้น จำเลยอ้างเหตุแห่งการเลิกจ้างว่าโจทก์มีเจตนาแจ้งคุณสมบัติในใบสมัครงานเป็นเท็จทำให้จำเลยเข้าใจผิดในคุณสมบัติของโจทก์ว่าโจทก์ได้ลาออกจากงานที่เคยทำ แต่ต่อมาจำเลยได้ทราบว่าโจทก์ออกจากงานโดยถูกเลิกจ้างเพราะขาดงานเกิน3 วันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลสมควร เหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ต้องด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งดังที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 47 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ปรากฏว่า โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2528 และจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่29 เมษายน 2531 (ที่ถูกวันที่ 18 เมษายน 2531) โจทก์ได้รับค่าจ้างครั้งสุดท้ายเดือนละ 2,762 บาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เกี่ยวกับวันที่โจทก์เข้าทำงานกับจำเลย และอัตราค่าจ้างครั้งสุดท้ายของโจทก์คงกล่าวเพียงว่ากรณีต้องถือว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ในวันที่19 เมษายน 2531 จึงถือว่าโจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันครบสามปีขึ้นไปจำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน เป็นเงิน 16,572 บาท ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ที่โจทก์อุทธรณ์ประการที่สองว่าในระหว่างที่จำเลยขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ต่อศาลแรงงานกลางในคดีหมายเลขแดงที่2365/2531 นั้น จำเลยได้มีคำสั่งพักงานโจทก์ชั่วคราวเพื่อรอคำสั่งศาลโดยในคำสั่งนั้นจำเลยได้ตกลงจะจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ในระหว่างดำเนินคดีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ในระหว่างพักงานจนคดีถึงที่สุดนั้น เห็นว่า เงินส่วนนี้เป็นเงินที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยมิใช่เงินที่กฎหมายบังคับให้จำเลยต้องจ่ายเช่นค่าชดเชยเป็นต้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่ามีข้อตกลงดังกล่าวจริง แต่ในสำนวนไม่มีข้อเท็จจริงที่จะให้รับฟังว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างพักงาน อุทธรณ์ข้อนี้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ประการสุดท้ายว่า การที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้นั้น จำเลยยังจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 คือต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน แต่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าจึงต้องรับผิดจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในคำสั่งของศาลแรงงานกลาง ในคดีหมายเลขแดงที่ 2365/2531 ศาลแรงงานกลางเพียงแต่มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องคือจำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างได้โดยมิได้กำหนดว่าให้เลิกจ้างได้ตั้งแต่เมื่อใดและในการพิจารณาคำร้องขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยในคดีดังกล่าวก็เพียงแต่พิจารณาว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะให้เลิกจ้างโจทก์ได้หรือไม่ เช่นนี้ เมื่อจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานกลางให้เลิกจ้างโจทก์ได้แล้ว จำเลยต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการเลิกจ้างโจทก์ให้ถูกต้องตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582บัญญัติไว้กล่าวคือ ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน ปรากฏว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 20กันยายน 2531 โดยมิได้บอกกล่าวให้โจทก์ทราบล่วงหน้า จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า มีกำหนด 40 วัน เป็นจำนวนเงิน3,682 บาทให้โจทก์ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นเช่นกัน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปให้แก่โจทก์