แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาจำนวน 9 ล้านบาทเศษและจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังร่วมกันเป็นหนี้โจทก์อีก 9 ล้านบาทเศษด้วย พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองได้พยายามหน่วงเหนี่ยวการชำระหนี้แก่โจทก์ ทั้งยังให้ภริยาจำเลยที่ 1 ผลัดเปลี่ยนกันยื่นคำร้องขัดทรัพย์อันเป็นอุปสรรคต่อการบังคับคดีของโจทก์ แสดงถึงเจตนาที่จะประวิงการชำระหนี้ให้เนิ่นนานออกไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การที่จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้เป็นหลักประกันแล้ว หรืออ้างว่าทางราชการตีราคาหลักทรัพย์ของจำเลยที่วางประกันต่อโจทก์มีราคสูงมากขึ้นก็ดี เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขายไปแล้ว ข้ออ้างของจำเลยยังไม่เป็นที่แน่นอนที่จะให้ฟังได้เช่นนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน ๙,๙๒๑,๗๕๓.๔๓ บาท และจำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ เป็นหนี้โจทก์อีก ๙,๘๔๐,๖๖๖.๑๙ บาท จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสอง และพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยมีรายได้และหลักทรัพย์เพียงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ มิใช่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๑๔
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังไม่ขึ้น เดิมบริษัทป๊อปผลิตภัณฑ์นม จำกัด เป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด หนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) และหนี้ตามเลคเตอร์ออฟเครดิตมีที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๐๕๗ ตำบลหัวหมาก อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินอันเป็นที่ตั้งโรงงานและเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทป๊อปผลิตภัณฑ์นม จำกัด จำนองเป็นประกันและจำเลยที่ ๑ จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๒๐ ตำบลสามเสนนอก (สามเสนฝั่งเหนือ) อำเภอบางกะปิ (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร เป็นประกันด้วยโดยมีข้อตกลงว่าถ้ามีการบังคับจำนองหรือเอาทรัพย์จำนองหลุดเป็นสิทธิหักชำระหนี้ยังขาดอยู่เท่าใด จำเลยที่ ๑ ยอมใช้ส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบ และจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ดังกล่าวโดยยอมรบผิดร่วมกับบริษัทป๊อปผลิตภัณฑ์นม จำกัด และจำเลยที่ ๑ ด้วย เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระบริษัทป๊อปผลิตภัณฑ์นม จำกัด และจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องบังคับต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งพิพากษาให้ร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์ คือ ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินให้โจทก์ ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์อีก ๔,๑๔๗,๔๕๑.๖๑ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปี ในต้นเงิน ๓,๗๙๔,๕๐๐.๙๓ บาท นับแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๑๔ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์รวม ๑๐๐,๖๔๐ บาท คดีถึงที่สุดตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ๙๒๖๐/๒๕๑๖ ของศาลแพ่ง แต่บริษัทป๊อปผลิตภัณฑ์นม จำกัด และจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่จำเลยที่ ๑ จำนองออกขายทอดตลาด แต่ภริยาของจำเลยที่ ๑ ร้องขัดทรัพย์ ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ยังขายทอดตลาดไม่ได้ส่วนที่ดินที่บริษัทป๊อปผลิตภัณฑ์นม จำกัด จำนองนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดไว้ในคดีล้มละลายหมายเลขดำที่ ล.๙๒/๒๕๑๔ เคยนำออกขายทอดตลาดครั้งหนึ่งแล้ว โจทก์ซื้อได้ในราคา ๑๙ ล้านบาท แต่โจทก์ไม่ชำระราคาตามกำหนดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยกเลิกการขายขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่าขายทอดตลาดแล้ว จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์คิดถึงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๒๖ รวมเป็นเงิน ๙,๙๒๑,๗๕๓.๔๓ บาท และจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นหนี้โจทก์คิดถึงวันดังกล่าวอีกรวมเป็นเงิน ๙,๘๔๐,๖๖๖.๑๙ บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายอันควรตกเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ จากข้อเท็จจริงซึ่งได้ความตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลย ทำให้มองเห็นพฤติการณ์ของจำเลยที่พยายามหน่วงเหนี่ยวการชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งหากความจริงทรัพย์สินที่จำเลยและ บริษัทป๊อปผลิตภัณฑ์นม จำกัด นำมาจำนองเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ต่อโจทก์มีมูลค่าสูงกว่าจำนวนหนี้จริงดังที่จำเลยอ้างแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะปล่อยให้หนี้จำนวนนี้ต้องค้างชำระอยู่ต่อไปซึ่งเป็นเหตุให้ดอกเบี้ยตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดเพิ่มพูนปริมาณสูงขึ้น อันก่อภาระหนักแก่จำเลยที่จะต้องรับผิดมากยิ่งขึ้นไปอีกโดยไม่จำเป็น ทั้งการที่ภริยาจำเลยที่ ๑ ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามายื่นคำร้องขัดทรัพย์อันเป็นอุปสรรคต่อการบังคับคดีของโจทก์ ก็ย่อมเป็นเหตุผลแสดงขัดอยู่ในตัวถึงเจตนาที่จะประวิงการชำระหนี้ให้เนิ่นนานออกไป ซึ่งย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อย่างไรก็ตามการที่จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาด ทรัพย์สินของบริษัทป๊อปผลิตภัณฑ์นม จำกัด เมื่อกลางปี ๒๕๒๘ แล้วก็ดี หรืออ้างว่าทางราชการได้ตีราคาหลักทรัพย์ของจำเลยเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๓๑ ในราคาตารางวาละ ๒๕,๐๐๐ บาท ก็ดีอันเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ศาลล่างมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดไปแล้วเช่นนี้ ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวยังไม่เป็นที่แน่นอนที่จะให้ฟังได้เช่นนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองเป็นอย่างอื่น คำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน