คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3322/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นรถยนต์บรรทุกที่จำเลยขับโดยโหนตัวขึ้นไปยืนบนบันไดรถ จำเลยขับรถกระชากออกไปโดยเร็วและไม่ยอมหยุดรถโดยเจตนาให้ผู้เสียหายตกจากรถจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสจำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 298

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันต่อสู้ขัดขวาง และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83, 138, 289(2) จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามมาตรา 297, 298 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 4 ปี จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยผิดมาตรา 138 วรรคแรกเพียงมาตราเดียว จำคุก 1 ปี 6 เดือน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยตามวันเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายกับพวกจะเข้าตรวจค้นรถยนต์บรรทุกที่จำเลยขับ ผู้เสียหายโหนตัวขึ้นไปยืนบนบันไดรถด้านซ้ายและร้องบอกว่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นก่อน แต่จำเลยขับรถกระชากออกไปโดยเร็ว และผู้เสียหายตกจากรถเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายด้วยหรือไม่ปรากฏจากแผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.3, จ.4และคำเบิกความของร้อยตำรวจโทสมาน กิมเดียว พยานโจทก์ว่า ผู้เสียหายตกจากรถห่างจากจุดที่ผู้เสียหายโหนตัวขึ้นรถประมาณ 10 เมตร และได้รับความจากร้อยตำรวจตรีอุบล ประเสริฐศรีพยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่าเมื่อผู้เสียหายตกจากรถ รถแล่นเฉียดร่างผู้เสียหายไปห่างกันประมาณ 1 ศอก แล้วจำเลยขับรถหลบหนีไปทางบ้านเหล่า อำเภอสว่างแดนดิน ศาลฎีกาเห็นว่า จากจุดที่ผู้เสียหายตกดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเหตุที่ผู้เสียหายตกจากรถน่าจะเป็นเพราะแรงเหวี่ยงของรถอันเกิดจากการที่จำเลยขับรถกระชากออกไปโดยเร็วและไม่ยอมหยุดรถ แต่ไม่น่าจะเกิดจากการถีบของนายปรีชาน้องชายจำเลยอีกแรงหนึ่งดังที่พยานโจทก์ทุกปากเบิกความเพราะมิฉะนั้น ผู้เสียหายคงต้องตกอยู่ห่างจากตัวรถมากกว่านี้การที่จำเลยขับรถกระชากออกไปโดยเร็วและไม่ยอมหยุดรถทั้ง ๆ ที่ทราบว่ามีผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอยู่ที่บันไดรถ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาให้ผู้เสียหายตกจากรถ เพื่อมิให้ติดไปกับรถของจำเลย และจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการตกจากรถในลักษณะเช่นนั้น อาจเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่ามีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสจำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 298 ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โจทก์ในความผิดบทนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share