คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์บรรยายชัดแจ้งถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย และจำเลยที่ 2 เป็นวิศวกรผู้ควบคุมงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งก็เป็นบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูตของจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างให้โจทก์ตกแต่งติดตั้งอาคารสถานทูตแห่งใหม่ของสถานทูต อิสลามมิครีปับลิคแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย ทั้งสัญญาตามเอกสารท้ายฟ้องก็ลงนามโดยจำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญา การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนทางทูต เป็นการปฎิบัติไปตามกรรมวิถีทางของหน้าที่ของตนในกิจกรรมคุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐผู้ส่ง ไม่ได้กระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการในการทำสัญญาของคู่สัญญาให้มีการสละเอกสิทธิความคุ้มกันจากอำนาจศาลเป็นที่ชัดแจ้งโดยรัฐผู้ส่ง จำเลยทั้งสองย่อมได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันจากอำนาจศาลทางแพ่งของรัฐผู้รับตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันทางทูต พ.ศ.2527 มาตรา 3 ประกอบอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต ซึ่งทำเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2504 ข้อ 31 (1) ประกอบข้อ 1 (จ) ซึ่งข้อกฎหมายนี้แม้จะไม่มีผู้ใดยกขึ้นโต้แย้ง แต่เป็นเรื่องอำนาจฟ้องและปรากฏชัดแจ้งในคำฟ้องของโจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นผู้ตรวจรับคำฟ้องย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นวิศวกรควบคุมงานของจำเลยที่ 1 ได้ตกลงทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ทำการก่อสร้างกรอบเหล็กไร้สนิมเพื่อติดตั้งแผ่นวีว่าบอร์ด แผ่นวีว่าบอร์ดชนิดแขวน และงานหินอ่อนฝาผนังและปูพื้น งานหินอ่อนโค้ง งานบันไดชุด สำหรับตกแต่งติดตั้งอาคารสถานทูตแห่งใหม่ของสถานทูตอิสลามมิครีปับลิคแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย ตกลงค่าจ้างก่อสร้างโครงกรอบเหล็กไร้สนิมตารางเมตรละ 280 บาท แผ่นวีว่าบอร์ดชนิดแขวนตารางเมตรละ 110 บาท งานหินอ่อนฝาผนังตารางเมตรละ 450 บาท งานหินอ่อนปูพื้นตารางเมตรละ 850 บาท งานหินอ่อนโค้งตารางเมตรละ 1,250 บาท และงานบันไดชุด 2 ชุด ตารางเมตรละ 2,050 บาท รวม 3,757,450 บาท กำหนดชำระเป็นเงินมัดจำครั้งแรก 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 1,502,980 บาท ชำระครั้งที่สอง 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 1,127,235 บาท และชำระครั้งที่สาม 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 1,127,235 บาท ตามสัญญาว่าจ้างเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยทั้งสองไม่ได้จ่ายเงินมัดจำครั้งแรก 40 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ตกลงคงจ่ายตามงวดงานที่เรียกเก็บงวดที่ 1 ถึงที่ 6 ตามเอกสารท้ายฟ้อง และได้ว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมอีกหลายครั้งเกี่ยวกับงานไม้ งานฝ้า ประตูชุด งานผนังกระจก และงานก่ออิฐ รวมเป็นเงินค่าจ้างทั้งหมด 24,829,590 บาท โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อมาบางส่วนเสร็จตามงวดงาน ได้เรียกเก็บค่าจ้างก่อสร้างงวดงานที่ 7 ถึงที่ 9 เป็นเงิน 2,969,377 บาท จำเลยทั้งสองเพิกเฉยจึงได้มีหนังสือแจ้งระงับการก่อสร้างและทวงถามขอให้ชำระเงินค่าจ้างงวดงานนั้น รวมทั้งเงินค้างชำระในงวดงานที่ 1 ถึงที่ 6 อีกบางส่วนด้วย เป็นเงิน 5,577,092 บาท จำเลยทั้งสองชำระให้บางส่วน 1,400,004 บาท คงค้างชำระ 4,177,088 บาท แล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดให้จำเลยทั้งสองชำระเงินภายใน 7 วัน ตามหนังสือทวงถามซึ่งจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 182,747 บาท รวมเป็นเงิน 4,359,838 บาท และค่าขาดโอกาสในการรับงานใหม่ระหว่างรอทำงานให้จำเลยทั้งสอง 3,000,000 บาท รวมทั้งสิ้น 7,359,838 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 7,359,838 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,177,088 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ในชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นตรวจพิเคราะห์คำฟ้องแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนทางทูตได้รับความคุ้มกันจากอำนาจศาลทางแพ่งตามข้อ 31 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันทางทูต พ.ศ.2527 (ที่ถูก ได้รับความคุ้มกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันทางทูต พ.ศ.2527 มาตรา 3 ประกอบอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต ซึ่งทำเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2504 ข้อ 31 (1)) ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์บรรยายฟ้องว่า เป็นวิศวกรของจำเลยที่ 1 แต่ตามสัญญาว่าจ้างเอกสารท้ายฟ้อง ไม่ปรากฏว่าเป็นคู่สัญญากับโจทก์ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย จำเลยที่ 2 เป็นวิศวกรควบคุมงานของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองมีเชื้อชาติและสัญชาติอิหร่านและมีภูมิลำเนาอยู่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย จำเลยทั้งสองตกลงว่าจ้างโจทก์ทำกรอบเหล็ก วีว่าบอร์ด หินอ่อน ตกแต่งติดตั้งอาคารสถานทูตแห่งใหม่ของสถานทูตอิสลามมิครีปับลิคแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย ตามคำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายชัดแจ้งถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย และจำเลยที่ 2 เป็นวิศวกรควบคุมงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งก็เป็นบุคคลในคณะผู้แทนทางทูตของจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างให้โจทก์ตกแต่งติดตั้งอาคารสถานทูตแห่งใหม่ของสถานทูตอิสลามมิครีปับลิคแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย ทั้งสัญญาตามเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์ก็ลงนามโดยจำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญา การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนทางทูต เป็นการปฏิบัติไปตามกรรมวิถีทางของหน้าที่ของตนในกิจกรรมคุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐผู้ส่ง ไม่ได้กระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการในการทำสัญญาของคู่สัญญาให้มีการสละเอกสิทธิความคุ้มกันจากอำนาจศาลเป็นที่ชัดแจ้งโดยรัฐผู้ส่ง จำเลยทั้งสองย่อมได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันจากอำนาจศาลทางแพ่งของรัฐผู้รับตามพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันทางทูต พ.ศ.2527 มาตรา 3 ประกอบอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต ซึ่งทำเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2504 ข้อ 31 (1) ประกอบข้อ 1 (จ) ซึ่งข้อกฎหมายนี้แม้จะยังไม่มีผู้ใดยกขึ้นโต้แย้ง แต่เป็นเรื่องอำนาจฟ้องและปรากฏชัดแจ้งในคำฟ้องของโจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นผู้ตรวจรับคำฟ้องย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า การจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือนั้น ไม่มีผลให้เปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share