แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ให้การไว้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินจาก จ. โดยไม่สุจริตศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 ใครมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน ถือว่าเป็นการกำหนดครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ด้วย โจทก์ซื้อที่ดินมีโฉนดจาก จ. โดยจดทะเบียนถูกต้อง ก่อนซื้อจ. บอกว่าได้ให้จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท และโจทก์ก็เห็นจำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทมากว่า 10 ปี แต่โจทก์ไม่ได้สอบถามจำเลยที่ 1 ว่าอาศัย จ. อยู่ในที่พิพาทจริงหรือไม่ถือว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทมาจาก จ. โดยไม่สุจริต จำเลยที่ 1ย่อมยกการครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 3583 เนื้อที่ดิน 10 ไร่55 ตารางวา หรือ 56 ตารางวา อยู่ตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์ซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากนางแจ่มปลื้มพันธ์ ก่อนที่โจทก์จะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยที่ 1ได้ขออาศัยนางแจ่มปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินแปลงนี้เป็นจำนวนเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ อยู่ก่อนแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ได้ขออาศัยนางแจ่มปลูกต้นกอไผ่และต้นสะแกอยู่ในที่ดินแปลงนี้เนื้อที่ประมาณ1 ไร่ บริเวณที่ดินที่จำเลยที่ 1 ขออาศัยนางแจ่มปลูกบ้าน และที่จำเลยที่ 2 ขออาศัยปลูกต้นไม้ปรากฏตามรูปแผนที่สังเขปท้ายคำฟ้องเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2528 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดสอบเขตที่ดิน จำเลยที่สองคัดค้าน ทำให้โจทก์ไม่สามารถทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ได้ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และบริวารรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นออกไปให้พ้นจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3583 ตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยาของโจทก์ และห้ามจำเลยที่ 1 เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์และให้จำเลยที่ 2 ตัดฟันต้นกอไผ่ต้นสะแกให้ออกไปให้พ้นจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3583 ดังกล่าวของโจทก์ และห้ามจำเลยที่ 2 เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์จะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 3583 มาจากนางแจ่มหรือไม่ จำเลยที่ 1 ไม่รับรอง และเป็นการซื้อขายไม่สุจริต จำเลยที่ 1 ไม่เคยขออาศัยที่ดินของนางแจ่มเพื่อปลูกบ้านเป็นเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ความจริงแล้วที่ดินที่จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่อาศัยเป็นที่ดินที่บิดามารดาหรือบรรพบุรุษของจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองทำกินมาตลอด ด้วยความสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องขัดขวางคัดค้านแต่ประการใดเป็นเวลาหลายสิบปีหรือหลายชั่วอายุคน เมื่อบิดามารดาของจำเลยที่ 1ถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวต่อมาด้วยเจตนาเช่นเดียวกัน จนถึงปัจจุบันนี้จำเลยที่ 1 มีอายุ 60 ปีแล้วไม่เคยมีใครโต้แย้งคัดค้านแต่ประการใด จำเลยที่ 1 จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ นางแจ่มรู้อยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 จึงได้ร่วมกับโจทก์ทำการซื้อขายเพื่ออ้างเหตุโต้แย้งและนำมาฟ้องร้องต่อศาล เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดที่ดินจำเลยที่ 1 จึงต้องคัดค้านตามสิทธิ จำเลยที่ 1 ขอฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินส่วนที่ใช้ปลูกบ้านดังกล่าวมาด้วยความสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วโดยไม่มีผู้ใดมาคัดค้าน จำเลยที่ 1 จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนนี้โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้ที่ดินพิพาทในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1โดยการครอบครองปรปักษ์
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เมื่อปี 2518 นายโฉม ปลอดฤทธิ์ บิดาของจำเลยที่ 2 ได้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 7607 ตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา ให้จำเลยที่ 2 ที่ดินบริเวณทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินของจำเลยที่ 2 นี้ติดกับที่ดินของโจทก์ซึ่งแต่เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนางแจ่ม การยกให้ได้จดทะเบียนโดยถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยขออาศัยที่ดินของโจทก์ ไม่เคยเข้าไปปลูกกอไผ่หรือต้นสะแกในบริเวณที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดที่ดินผ่านเข้ามาในที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงจำต้องคัดค้านซึ่งเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบ และหากจะมีต้นไม้ชนิดอื่นใดไปขึ้นอยู่ในบริเวณที่ดินของโจทก์ก็เป็นการขึ้นเองตามธรรมชาติ จำเลยที่ 2 ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1ปลูกบ้านอยู่อาศัยบนที่ดินของนางแจ่ม โดยครอบครองอย่างมิใช่มีเจตนาเป็นเจ้าของ ถึงแม้ว่าจำเลยที่ 1 อยู่ในที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ก็ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 3583 มาจากนางแจ่มโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทลงวันที่ 23 มกราคม 2530 ซึ่งอยู่ในเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 3583 ตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ตามฟ้องแย้ง และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสอง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 และบริวารรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น และให้จำเลยที่ 2 ตัดฟันต้นกอไผ่ ต้นสะแกออกไปให้พ้นจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3583 ตำบลบ่อโพงอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์ต่อไป ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินแปลงพิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่นั้นเป็นการไม่ถูกต้อง ความจริงศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นดังกล่าวไว้แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อที่ 2 ว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 ใครมีสิทธิในที่ดินพิพาทตามเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทลงวันที่ 23 มกราคม 2530 ดีกว่ากันอันเป็นการกำหนดครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าโจทก์ซื้อที่ดินแปลงพิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ด้วยเพราะโจทก์นำสืบฟังได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตย่อมหมายความว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามเส้นสีเขียวดีกว่าจำเลยที่ 1 แต่หากฟังได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริตก็จะทำให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามเส้นสีเขียวดีกว่าโจทก์นั่นเอง ฎีกาจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต่อมาว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 ใครมีสิทธิในที่ดินพิพาทตามเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทลงวันที่ 23 มกราคม 2530ดีกว่ากัน เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ตามเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทโดยความสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว นางแจ่มปลื้มพันธุ์ พยานโจทก์เบิกความว่าก่อนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าตนได้ให้จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทและตัวโจทก์เองก็มาเบิกความรับว่าเห็นจำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทนานกว่า 10 ปีแล้ว แสดงว่าโจทก์รู้เห็นอย่างดีก่อนซื้อที่ดินพิพาทจากนางแจ่มว่าจำเลยที่ 1 อยู่ในที่ดินพิพาทแต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้สอบถามจำเลยที่ 1 เองให้แน่ชัดเสียก่อนที่จะซื้อที่ดินพิพาทจากนางแจ่มว่าจำเลยที่ 1 อาศัยนางแจ่มอยู่ในที่ดินพิพาทหรือไม่ อันเป็นพิรุธ รูปคดีรับฟังได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 1 ย่อมยกการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์
ปัญหาข้อวินิจฉัยประการสุดท้าย โจทก์หรือจำเลยที่ 2 มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามเส้นสีม่วงตามแผนที่ลงวันที่ 23 มกราคม 2530ดีกว่ากัน โจทก์นำสืบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์นางแจ่ม ปลื้มพันธุ์ เจ้าของที่ดินเดิมให้จำเลยที่ 2 อาศัยปลูกต้นไม้ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 นำสืบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ครอบครองอยู่ ความปรากฏว่าที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นที่ดินมีโฉนด ไม่เคยมีการรังวัดที่ดินของทั้งสองฝ่ายมาก่อน แม้นายพีระชัย อินทรธรรมา ช่างรังวัดที่ดิน พยานโจทก์จะมารังวัดและทำแผนที่พิพาท แต่นายพีระชัยไม่ได้ยืนยันว่าในการรังวัดที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์แต่อย่างใด เป็นการรังวัดตามที่โจทก์จำเลยที่ 2 นำชี้โดยไม่มีหลักเขตเสาหินเดิมปรากฏอยู่ ผลการรังวัดปรากฏว่า ที่ดินในโฉนดโจทก์จำเลยที่ 2 ต่างขาดหายไปไม่ตรงกับเนื้อที่ดินในโฉนด ทั้งยังได้ความจากการเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทของศาลชั้นต้นว่าบริเวณที่ดินพิพาท มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเป็นแนวเขตต่างกับที่ดินส่วนอื่นในโฉนดของโจทก์ซึ่งเป็นที่ราบใช้ทำนา ทั้งจำเลยที่ 2 กับนางแจ่มก็ไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติกัน ไม่น่าเชื่อว่านางแจ่มจะให้จำเลยที่ 2อาศัยปลูกต้นไม้ในที่ดินพิพาทเป็นเวลานานนับสิบปี ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตโฉนดโจทก์แต่อยู่ในเขตโฉนดที่ดินจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.