คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเป็นเอกสารที่จะต้องแนบมาพร้อมกับคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 118 และตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ก็มีผลเพียงว่า จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้เท่านั้น แม้ขณะโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจะมิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรก็ไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ ในระหว่างที่เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 468,730.38 บาท ขอให้จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว สำหรับข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อใด และค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเท่าใด เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายประโชติ บุนนาคเป็นผู้ดำเนินคดีแทน โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขายและเป็นผู้จัดการสาขาชลบุรี จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ 1 ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ต่อมาทำสัญญายอมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิ้น 468,730.38บาท โดยจำเลยที่ 3 ได้ผูกพันตนค้ำประกันจำเลยที่ 1 และยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 4 มีหนังสือถึงผู้จัดการโจทก์ว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 4 จะช่วยชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 40,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่เคยชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ได้ทวงถามจำเลยทั้งสี่ แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ยอดหนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2528 จำนวน 468,730.38 บาท แต่โจทก์ติดใจเรียกร้องเพียง 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 15,750 บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไรเมื่อใดและค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเท่าใด ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ หนังสือมอบอำนาจมิได้ปิดอากรตามกฎหมายฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการแรกมีว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 เพราะขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลนั้นหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเอกสารหมาย จ.2มิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามกฎหมาย แม้ต่อมาเมื่อมีการสืบพยานโจทก์จะส่งอ้างหนังสือมอบอำนาจที่ปิดแสตมป์ถูกต้อง ก็ไม่ทำให้หนังสือมอบอำนาจซึ่งขณะยื่นฟ้องไม่ถูกต้องอยู่แล้ว กลับมาถูกต้องในภายหลังได้นั้น เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเป็นเอกสารที่จะต้องแนบมาพร้อมกับคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 และตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ก็มีผลเพียงว่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้เท่านั้น ดังนั้น แม้ขณะโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจะมิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรก็ไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับประเด็นข้อต่อไปที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ ในระหว่างที่เป็นลูกจ้างโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 468,730.38 บาท ขอให้จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ เห็นว่า เป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว สำหรับข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อใด และค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share