แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ได้รับทราบการประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ อีกทั้งไม่มีผู้ใดนำประกาศดังกล่าว ไป ติด ยังสถานที่ตั้งทรัพย์ที่จะขายและเป็นการประมูลที่ตกลงกัน ไว้ ล่วงหน้า ในกลุ่มผู้สู้ราคา ซึ่งมีความหมายว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้แจ้งวันขายทอดตลาดทรัพย์ให้จำเลย ทราบเป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 306และการประมูลซื้อทรัพย์ที่ ขายทอดตลาดเป็นการสมรู้กันกดราคา ซื้อจำเลยมีสิทธิขอให้ศาลสั่ง เพิกถอนการขายทอดตลาดได้เมื่อยังไม่พ้นกำหนด 8 วัน นับแต่วัน ที่จำเลยทราบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 คือที่ดินโฉนดที่ 65793 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาได้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ ปรากฏว่านายนิธิไชยกับนางฉลองทิพย์เป็นผู้ซื้อทอดตลาดได้ในราคา 600,000 บาท ต่อมาวันที่ 13กรกฎาคม 2531 จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาด แล้วเปิดโอกาสให้ขายทอดตลาดใหม่ เพื่อให้จำเลยกับผู้สนใจเข้าสู้ราคาต่อไป ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่17 สิงหาคม 2531 เวลา 13.30 นาฬิกา โดยสั่งให้จำเลยที่ 2 นำส่งหมายนัดกับสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดภายใน 7 วัน ครั้นถึงวันนัดไต่สวนคำร้อง มีทนายผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองมาศาล ส่วนจำเลยที่ 2 ได้มอบฉันทะให้นางสาวนิตยามายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าป่วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการไต่สวนไปเป็นวันที่ 14 กันยายน 2531 เวลา 9นาฬิกา ให้จำเลยที่ 2 นำส่งหมายนัดกับสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดภายใน7 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่ติดใจไต่สวนคำร้องและจงใจประวิงคดี ต่อมาวันที่ 14 กันยายน 2531 ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนคำร้องที่เลื่อนมามีทนายจำเลยที่ 2 กับทนายผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองมาศาลส่วนโจทก์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มาโดยไม่ปรากฏว่าส่งหมายนัดกับสำเนาคำร้องให้โจทก์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้หรือไม่ ศาลชั้นต้นสอบถามทนายจำเลยที่ 2 แล้วทนายจำเลยที่ 2แถลงว่า ได้นำเงินค่านำหมายไปวางไว้ต่อเจ้าพนักงานกรมบังคับคดีแล้วเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2531 ปรากฏตามภาพถ่ายแบบคำขอวางเงินนำหมายล่วงหน้า ศาลชั้นต้นเห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 เพียงนำเงินไปวางไว้ต่อเจ้าพนักงานกรมบังคับคดีนั้นไม่เป็นการนำส่งหมายตามคำสั่งของศาลและตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้ายถือว่าจำเลยที่ 2 จงใจประวิงคดี จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่ทนายจำเลยที่ 2 ได้นำเงินค่านำหมายไปวางล่วงหน้าไว้แล้วย่อมแสดงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาจะทิ้งคำร้องหรือไม่ติดใจไต่สวนคำร้อง และยังไม่พอฟังว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 มีลักษณะเป็นการประวิงคดี แต่ตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวมิได้โต้แย้งเลยว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการขายทอดตลาดโดยไม่ถูกต้องอย่างไรหรือดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือระเบียบอย่างไร จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบและขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง คดีจึงไม่จำเป็นต้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวน พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่าคำร้องของจำเลยที่ 2 ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองหรือไม่ จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับทราบการประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ อีกทั้งไม่มีผู้ใดนำประกาศดังกล่าวไปติดยังสถานที่ตั้งทรัพย์ที่จะขายและเป็นการประมูลที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในกลุ่มผู้สู้ราคา ซึ่งมีความหมายว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้แจ้งวันขายทอดตลาดทรัพย์ให้จำเลยที่ 2 ทราบอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 306 และการประมูลซื้อทรัพย์ที่ขายทอดตลาดดังกล่าวเป็นการสมรู้กันกดราคาซื้อ จำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดได้เมื่อยังไม่พ้นกำหนด 8 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ได้ทราบคำร้องของจำเลยที่ 2 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 2 แล้วมีคำสั่งใหม่.