แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 2 นาฬิกา ขณะที่นาง ส.นอนหลับอยู่ในห้องนอนชั้นสองของบ้านหลังใหญ่ ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากชั้นสามที่ผู้ตายนอนอยู่ นางส.วิ่งไปบอก ให้ม.ไปดูผู้ตาย แต่เปิดประตูห้องนอนของผู้ตายไม่ได้ ม. และคนงานช่วยกันใช้ชะแลงงัดประตูระหว่างที่งัดประตูได้ยินเสียงผู้ตายตะโกนว่า “มึงมาทำกูทำไมวะ” แล้วมีเสียงยามตะโกนว่านั่นไงคนร้ายม.หันไปเห็นคนร้ายกำลังโหน ตัวลงมาจากชั้นสามจึงวิ่งจากชั้นสองไปออกประตูห้องครัวชั้นล่าง ขณะกำลังเปิดประตูห้องครัวออกไป คนร้ายซึ่งวิ่งไปถึงกำแพงรั้วยิงปืนมาแต่ไม่ถูกผู้ใด ม. ยิงปืนสวนกลับไปกระสุนปืนถูกคนร้ายที่สะโพก คนร้ายล้มฟุบอยู่ที่ข้างกำแพง ม. จึงเข้าไปจับคนร้ายคือจำเลยที่ 1 ได้และพบอาวุธปืนตกอยู่ข้างตัวจำเลยที่ 1 หลังจากนั้น ม.กลับไปดูผู้ตายโดยมีเจ้าพนักงานตำรวจมาช่วยงัดประตูขึ้นไปชั้นสามได้ พบผู้ตายนอนตายอยู่ในห้องมีบาดแผลถูกมีดฟันหลายแผลและพบมีดสปาต้า ตกอยู่ในห้องที่เกิดเหตุ ดังนี้แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความประกอบแต่ข้อเท็จจริงก็รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยใช้มีดสปาต้า ของกลางฟันผู้ตายหลายครั้งโดยทารุณโหดร้ายโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่จำเป็นต้องนำคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 มาประกอบการพิจารณาการที่จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จึงเป็นการรับสารภาพโดยจำนวน ต่อพยานหลักฐานไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอันจะเป็นเหตุบรรเทาโทษให้ได้รับการลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2539เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2539 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงต่อเนื่องกันจำเลยที่ 1 กระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยที่ 1 มีเครื่องรับและส่งวิทยุคมนาคมยี่ห้อ ยาอีซุ หมายเลขเครื่อง 5 เจ 010328 แบบมือถือ ความถี่ใช้งานของเครื่อง 140 ถึง 174 เมกะเฮิร์ต กำลังส่ง 5.9 วัตต์ซึ่งสามารถรับและส่งสัญญาณและเสียงให้เข้าใจความหมายได้ด้วยคลื่นแฮรตเซียน อันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมตามกฎหมายจำนวน 1 เครื่อง ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยที่ 1 ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าวส่งและรับสัญญาณเสียงติดต่อกับผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนออโตเมติกขนาด.380 เครื่องหมายเลขทะเบียน กท.0416320 จำนวน 1 กระบอกและกระสุนปืนออโตเมติกขนาด .380 จำนวน 6 นัด ซึ่งเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตามกฎหมายที่ใช้ยิงได้ของนายนิรันดร เรืองกาญจนเศรษฐ์ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1 พาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวกับมีดเดินป่าแบบสปาต้า จำนวน 1 เล่ม และอาวุธมีดปลายแหลมแบบสปริงจำนวน 1 เล่ม ติดตัวไปตามถนนซอยอารีย์ 4 ใต้ แขวงสามเสนในเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร อันเป็นทางสาธารณะและในเมืองกรุงเทพมหานคร โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งไม่ใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวไปเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และจำเลยทั้งสองกับนายนิรันดร เรืองกาญจนเศรษฐ์ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วได้ร่วมกันวางแผนฆ่า นายไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐ์ บิดาของนายนิรันดร โดยให้จำเลยที่ 1 ปีนเข้าไปในบ้านของนายไชยศิริและเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องนอนของนายไชยศิริเมื่อนายไชยศิรินอนหลับให้ใช้มีดสปาต้าฟันนายไชยศิริขณะนอนหลับให้ถึงแก่ความตายจำเลยทั้งสองกับนายนิรันดรใช้รถยนต์ไปจอดที่ด้านนอกข้างกำแพงรั้วบ้านของนายไชยศิริแล้วจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอาวุธปืนและอาวุธมีดดังกล่าวติดตัวไปปีนกำแพงรั้วบ้านบุกรุกเข้าไปในบ้านและห้องนอนของนายไชยศิริโดยไม่มีเหตุอันควรและไม่ได้รับอนุญาตส่วนจำเลยที่ 2และนายนิรันดรจอดรถยนต์คอยสังเกตการณ์อยู่ริมรั้วบ้านนั้นเพื่อคอยช่วยเหลือและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมชนิดมือถือติดต่อสื่อสารกับจำเลยที่ 1 และรออยู่เพื่อพาจำเลยที่ 1 หลบหนีไปเมื่อฆ่านายไชยศิริได้แล้วจำเลยที่ 1 เข้าไปซ่อนตัวรออยู่จนนายไชยศิริเข้านอน แล้วจำเลยที่ 1 จึงใช้มีดเดินป่าแบบสปาต้าฟันประทุษร้ายนายไชยศิริหลายครั้งโดยทารุณโหดร้ายโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นเหตุให้นายไชยศิริถึงแก่ความตาย และเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2539 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง หลังเกิดเหตุดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยที่ 1ใช้อาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวยิงสิบตรีปรีชา นกเทศและสิบเอกสมคดิ โพธิ์สุข 1 นัด โดยเจตนาฆ่าจำเลยที่ 1ได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่กระสุนปืนที่ยิงไม่ถูกบุคคลทั้งสอง บุคคลทั้งสองจึงไม่ถึงแก่ความตายดังเจตนาของจำเลยที่ 1เหตุทั้งหมดเกิดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานครในวันที่ 2 มิถุนายน 2539 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง หลังเกิดเหตุดังกล่าวเจ้าพนักงานยืดได้อาวุธปืนหมายเลขทะเบียนกท.3416320 จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาด .380 จำนวน5 นัด ซองพกสีดำ 1 ซอง ซึ่งจำเลยที่ 1 มีและพาติดตัวไปเป็นความผิดและใช้กระทำความผิดยิงผู้อื่นดังกล่าว อาวุธมีดเดินป่าแบบสปาต้า 1 เล่ม พร้อมซองใส่มีดสปาต้า 1 ซอง และอาวุธมีดปลายแหลมแบบสปริงจำนวน 1 เล่ม ซึ่งจำเลยที่ 1 พาติดตัวไปเป็นความผิดดังกล่าว ถุงผ้าสำหรับใส่เบ็ดซึ่งจำเลยทั้งสองกับพวกนำมาใช้ใส่มีดสปาต้าเพื่อสะพายไว้ด้านหลังเพื่อสะดวกในการปีนกำแพงรั้วบ้านที่จำเลยทั้งสองกับพวกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดดังกล่าว เครื่องรับส่งวิทยุโทรคมนาคมพร้อมสายวิทยุที่จำเลยที่ 1มีไว้เป็นความผิดดังกล่าว ไฟฉายขนาดเล็ก 1 กระบอกรองเท้าผ้าใบสีดำหุ้มข้อ 1 คู่ หมวกไหมพรมสีดำ 1 ใบ และถุงเท้าหนังสีดำ 1 คู่ ซึ่งจำเลยที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือและใช้ใส่พรางตัวเพื่อสะดวกในการบุกรุกเข้าไปฆ่านายไชยศิริดังกล่าวเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 364,365, 371, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498มาตรา 4, 6, 22, 23 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลางทั้งหมดเว้นแต่เครื่องรับและส่งวิทยุคมนาคมของกลางให้ริบเพื่อให้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)(ผ) ประกอบด้วยมาตรา 83ให้ลงโทษประหารชีวิต และจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 ให้ลงโทษจำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365(2)(3)จำคุก 1 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสามจำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนและอาวุธมีดติดตัวไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและโดยไม่มีเหตุสมควรตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือนฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 23 ฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคม ปรับ 4,000 บาท ฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคม ปรับ4,000 บาท จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้อื่นโดยมีการวางแผนไตร่ตรองไว้ก่อนและโดยทารุณโหดร้าย แม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับสารภาพก็ไม่สมควรลดโทษให้ เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 แล้วจึงไม่นำโทษอื่นมารวมคงให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 2 มิได้เป็นผู้ลงมือฆ่าผู้ตาย และคำให้การของจำเลยที่ 2ในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิตริบของกลางทั้งหมด เฉพาะเครื่องรับและส่งวิทยุคมนาคมของกลางให้ริบเพื่อให้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ขอให้ลดโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีฟังได้เป็นยุติว่า ก่อนเกิดเหตุนายนิรันดร เรืองกาญจนเศรษฐ์ บุตรชายนายไชยศิริเรืองกาญจนเศรษฐ์ ผู้ตายได้ร่วมกับจำเลยทั้งสองวางแผนฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นบิดาของนายนิรันดร โดยให้จำเลยที่ 1 เข้าไปหลบซ่อนอยู่ในห้องของผู้ตายและใช้มีดสปาต้าฆ่าผู้ตาย ต่อมาตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 มีและใช้เครื่องรับและส่งวิทยุคมนาคมของกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต กับพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าว มีดเดินป่าแบบสปาต้า 1 เล่มและมีดปลายแหลมแบบสปริง 1 เล่ม ของกลางติดตัวไปตามทางสาธารณะและในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จำเลยที่ 1 ปืนกำแพงรั้วบ้านบุกเข้าไปในบ้านและห้องนอนของผู้ตายโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาตแล้วจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายตามแผนที่ร่วมกันวางไว้กับนายนิรันดรและจำเลยที่ 2 โดยใช้มีดสปาต้าฟันที่บริเวณใบหน้า ศีรษะ ลำคอ และร่างกายของผู้ตายหลายครั้ง โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน โดยทารุณโหดร้ายทำให้ผู้ตายได้รับบาดแผลถึง 27 แผลถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.1 และภาพถ่ายศพผู้ตายหมาย จ.2 คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้เพียงข้อเดียวตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตลอดมาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นศาล เป็นเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หรือไม่ในปัญหานี้ปรากฏว่าโจทก์มีนางสุมาลี เรืองกาญจนเศรษฐ์ ภรรยาผู้ตาย นางสาวจิตรลดา เรืองกาญจนเศรษฐ์ บุตรสาวผู้ตายสิบเอกสมคิด โพธิ์สุข และสิบตรีปรีชา นกเทศผู้รักษาความปลอดภัยของบ้านผู้ตายเบิกความเป็นพยานแวดล้อมกรณีว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 2 นาฬิกา ขณะที่นางสุมาลีนอนหลับอยู่ในห้องนอน ชั้น 2 ของบ้านหลังใหญ่ ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากชั้น 3 ที่ผู้ตายนอนอยู่ นางสุมาลีวิ่งไปเคาะประตูบันไดชั้น 2 ที่จะขึ้นไปสู่ชั้น 3 แล้ววิ่งไปบอกสิบเอกสมคิดให้ไปดูผู้ตายเพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากชั้น 3หลังจากนั้น นางสุมาลีไปเรียกนางสาวจิตรลดาซึ่งอยู่ที่บ้านหลังเล็กให้ไปดูผู้ตาย หลังจากนั้นสิบเอกสมคิด สิบตรีปรีชาและนางสาวจิตรลดาวิ่งตามนางสุมาลีไปที่ประตูบันไดชั้น 2ที่จะขึ้นไปสู่ชั้น 3 ของบ้านหลังใหญ่ แต่เปิดประตูไม่ได้สิบเอกสมคิด สิบตรีปรีชาและคนงานช่วยกันใช้ชะแลงงัดประตูดังกล่าว ระหว่างที่งัดประตูได้ยินเสียงผู้ตายตะโกนว่า มึงมาทำกูทำไมวะ แล้วมีเสียงยามตะโกนว่า นั่นไงคนร้ายสิบเอกสมคิดและสิบตรีปรีชาหันไปเห็นคนร้ายกำลังโหนตัวลงมาจากชั้น 3จึงวิ่งจากชั้น 2 ไปออกประตู ห้องครัวชั้นล่าง ขณะกำลังเปิดประตูห้องครัวออกไป คนร้ายซึ่งวิ่งไปถึงกำแพงรั้วด้านซอยอารีย์ 4 ยิงปืนมาแต่ไม่ถูกผู้ใด สิบเอกสมคิดและสิบตรีปรีชายิงปืนสวนกลับไป กระสุนปืนถูกคนร้ายที่สะโพกคนร้ายล้มฟุบอยู่ที่ข้างกำแพงสิบเอกสมคิดและสิบตรีปรีชาเข้าไปจับคนร้ายคือจำเลยที่ 1 ได้ และพบอาวุธปืนตกอยู่ข้างตัวจำเลยที่ 1หลังจากนั้นสิบเอกสมคิดและสิบตรีปรีชากลับไปดูผู้ตายโดยมีเจ้าพนักงานตำรวจมาช่วยงัดประตูขึ้นไปชั้นสามได้ พบผู้ตายนอนตายอยู่ในห้องมีบาดแผลถูกมีดฟันหลายแผลและพบมีดสปาต้าตกอยู่ในห้องที่เกิดเหตุ ดังนี้แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความประกอบ แต่ข้อเท็จจริงก็รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยใช้มีดสปาต้าของกลางฟันผู้ตายหลายครั้งโดยทารุณโหดร้าย โดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่จำเป็นต้องนำคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1มาประกอบการพิจารณา การที่จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพนั้นจึงเป็นการให้การรับสารภาพโดยจำนนต่อพยานหลักฐาน ไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอันจะเป็นเหตุบรรเทาโทษให้ได้รับการลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แต่อย่างใดฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน