คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2127/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภายหลังจากโจทก์ยกที่ดินให้แก่จำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยดังกล่าวรวมทั้งที่ดินพิพาทต่อหน้า พ.ผู้ใหญ่บ้านมีใจความว่า ที่ดินและทรัพย์สินที่ยกให้แก่จำเลยและเป็นชื่อของจำเลยแล้วนั้น ที่ดินที่เป็นที่สำหรับเพาะปลูก 1 แปลง จำเลยยอมยกให้ศ.และค. ส่วนที่ดินสำหรับอยู่อาศัยและสำหรับเพราะปลูกอีกอย่างละแปลงรวม2 แปลง จำเลยยอมโอนคืนให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ยอมยกยุ้งข้าว1 หลังให้แก่จำเลย ซึ่งบันทึกดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาที่โจทก์และจำเลยตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยดังกล่าวนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850,851 การเรียกร้องที่โจทก์จำเลยได้ ยอมสละนั้นจึงระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามมาตรา 852 โจทก์จำเลยจึงไม่มีความผูกพันต่อกันตามสัญญาให้ที่โจทก์ยกที่ดินและทรัพย์สินรวมทั้งที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยอีกต่อไป เมื่อไม่มีการให้ที่จะเรียกถอนคืนการให้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทดังกล่าวจากจำเลย และเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246,247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนคืนการให้และบังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ภายใน 15 วัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ให้ที่ดินจำเลยสองแปลงโดยมีค่าตอบแทนและเป็นการให้โดยศีลธรรมจรรยา เพราะจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูโจทก์เพียงผู้เดียว จำเลยไม่เคยประพฤติเนรคุณโจทก์ ได้ให้การเลี้ยงดูและให้เกียรติ โจทก์ตลอดมา ไม่เคยด่าโจทก์หรือขับไล่ แต่โจทก์ออกจากบ้านจำเลยไปอยู่กับบุตรคนอื่นของโจทก์เอง โจทก์จึงฟ้องเรียกถอนคืนการให้ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นางเคล็ม กรุมรัมย์ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เล่มที่ 26 หน้า 148 สารบบเล่มหมู่ที่ 2 ตำบลสวายจีก อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และเล่มที่ 33 หน้า 123 สารบบเล่ม หมู่ที่ 7 ตำบลเสม็ดอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ คืนให้โจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์แต่งงานกับนางบุญ กรุมรัมย์ แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นางเคล็ม กรุมรัมย์ จำเลยและนางควนหรือควรหรือครวญ กรุมรัมย์ นางบุญตายไปประมาณ 15 ปีแล้วเมื่อปี 2524 โจทก์ได้ยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 56 ตารางวา และ 11 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา ตามเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 ตามลำดับ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทและที่ดินแปลงอื่นอีกให้แก่จำเลย ต่อมาปี 2532 โจทก์จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงกันเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.3มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรยกปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่าภายหลังจากโจทก์ยกที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2ให้แก่จำเลย เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2524 แล้ว ต่อมาวันที่ 2พฤษภาคม 2532 โจทก์จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยดังกล่าวรวมทั้งที่ดินตามเอกสารหมายจ.1 และ จ.2 ต่อหน้านายพวงผู้ใหญ่บ้านมีใจความว่า ที่ดินและทรัพย์สินที่ยกให้แก่จำเลยและเป็นชื่อของจำเลยแล้วนั้น ที่ดินที่เป็นที่สำหรับเพราะปลูก 1 แปลง จำเลยยอมยกให้นายศักดิ์ วันดารัมย์ และนางควน กรุมรัมย์ ส่วนที่ดินสำหรับอยู่อาศัยและสำหรับเพาะปลูกอีกอย่างละแปลงรวม 2 แปลงจำเลยยอมโอนคืนให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ยอมยกยุ้งข้าว 1 หลัง ให้แก่จำเลย ตามเอกสารหมาย จ.3นอกจากนี้โจทก์และจำเลยต่างก็เบิกความยืนยันว่าได้ตกลงทำบันทึกเกี่ยวกับทรัพย์สินตามเอกสารหมาย จ.3 จริง ซึ่งบันทึกดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาที่โจทก์และจำเลยตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยดังกล่าวนั้นให้เสร็จไปด้วย ต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.3 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850, 851 การเรียกร้องที่โจทก์ จำเลยได้ยอมสละนั้นจึงระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตนตามมาตรา 852 โจทก์จำเลยจึงไม่มีความผูกพันต่อกันตามสัญญาให้ที่โจทก์ยกที่ดินและทรัพย์สินรวมทั้งที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ให้แก่จำเลยอีกต่อไป เมื่อไม่มีการให้ที่จะเรียกถอนคืนการให้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทดังกล่าวจากจำเลย และเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246, 247
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share