คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัมปทานปิโตรเลียมที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยเป็นการอนุญาตให้จำเลยมีสิทธิที่จะทำได้แต่ผู้เดียวในกิจการสำรวจการปิโตรเลียมภายในขอบเขตที่กำหนดซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์แต่การจ่ายเงินผลประโยชน์มีจำนวนมากหลายรายการเพื่อผ่อนผันแบ่งเบาภาระให้แก่จำเลย จึงได้แบ่งชำระเป็นงวด เงื่อนไขดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์พึงได้รับประโยชน์จากการที่ยอมให้สัมปทานแก่จำเลย แม้เงินผลประโยชน์พิเศษงวดที่ 3 ใช้คำว่า”กับทุกปีหลังจากนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องกันอีกสองปี” ก็ตาม ก็มิใช่เป็นเงินอื่น ๆ ที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา จึงไม่เป็นสิทธิเรียกร้องที่มีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 166 เดิม สิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปกำหนด10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินผลประโยชน์พิเศษให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะโจทก์เตือนแล้วโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก นับตั้งแต่วันผิดนัด แต่จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ย ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นดอกเบี้ยค้างส่งที่มีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 166 เดิม ดอกเบี้ยที่ค้างส่งเกินกว่า 5 ปี จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ได้ออกสัมปทานปิโตรเลียมให้แก่บริษัทโอเชี่ยนนิคเอ็กซพลอเรชั่นฯ และบริษัทสุวรรณมาศ จำกัดต่อมาบริษัทสุวรรณมาศ ได้ขอโอนสิทธิ ประโยชน์และพันธะ ทั้งหมดของตนตามสัมปทานดังกล่าวให้แก่จำเลย โจทก์ที่ 1 อนุญาตให้จำเลยเข้าร่วมประกอบกิจการตามสัมปทานปิโตรเลียมดังกล่าวกับบริษัทโอเชี่ยนนิคเอ็กซพลอเรชั่นฯ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2518 แล้วตามข้อกำหนดของสัมปทานข้อ 6 บริษัทโอเชี่ยนนิคฯ และจำเลยผู้รับสัมปทานมีหน้าที่ชำระเงินผลประโยชน์พิเศษ คือ เงินบำรุงการศึกษาให้แก่โจทก์ที่ 2 ปีละ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ชำระเงินอุดหนุนการสำรวจปิโตรเลียมบนบก ในภาคเหนือให้แก่กรมการพลังงานทหารซึ่งเป็นส่วนราชการของโจทก์ที่ 3 ปีละ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาชำระเงินอุดหนุนการสำรวจและพัฒนาแร่ให้แก่โจทก์ที่ 4 ปีละ500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ชำระเงินอุดหนุนการศึกษาและป้องกันความโสโครกให้แก่โจทก์ที่ 5 ปีละ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาตามสัมปทานข้อ 6(3), 6(4), 6(5), และ 6(7) ตามลำดับ ทั้งนี้เงินผลประโยชน์แต่ละประเภทดังกล่าว ผู้ได้รับสัมปทานจะต้องชำระภายในสามสิบวันหลังจากได้ให้และได้รับสัมปทานนี้ กับทุกปีหลังจากนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องกันอีกสองปีสำหรับเงินผลประโยชน์พิเศษงวดที่ 1และงวดที่ 2 ผู้รับสัมปทานได้ชำระให้แล้วยังคงเหลือเงินผลประโยชน์พิเศษงวดที่ 3 ซึ่งเป็นงวดสุดท้าย ซึ่งจำเลยยังมิได้ชำระโดยจำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2519แต่จำเลยได้ขอผ่อนผันและโจทก์ที่ 1 ได้อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาการชำระเงินดังกล่าวออกไปอีกจนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2520 เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระเงิน จำเลยมิได้ชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ที่ 1 ขอชำระเงินผลประโยชน์พิเศษดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย โจทก์ที่ 1 ไม่อนุญาต และได้เรียกให้จำเลยชำระรวม 2 ครั้ง แต่จำเลยมิได้ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน1,170,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือจำนวน 30,057,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2520 ถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 877,500ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเป็นเงิน 22,542,995 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งห้า และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับโอนสิทธิ ประโยชน์และพันธะ ตามสัมปทาน โดยแบ่งแยกกันกับบริษัทโอเชี่ยนนิคเอ็กซพลอเรชั่นฯเงินผลประโยชน์พิเศษตามที่โจทก์ฟ้องเป็นเงินค้างจ่ายประเภทเงินอื่น ๆ บรรดาที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา ซึ่งโจทก์ต้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องภายในอายุความ 5 ปี โจทก์ฟ้องคดีเกิน 5 ปีคดีของโจทก์ขาดอายุความ สำหรับดอกเบี้ยของเงินผลประโยชน์พิเศษเป็นอุปกรณ์ของสิทธิเรียกร้องเงินผลประโยชน์พิเศษจึงขาดอายุความแล้วโดยเฉพาะดอกเบี้ยค้างจ่ายตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2520ถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2525 เป็นสิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยค้างส่งเมื่อฟ้องเกิน 5 ปี จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 30,057,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11 มิถุนายน2520 ให้แก่โจทก์ทั้งห้าจนกว่าจำเลยจะชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับเงินผลประโยชน์พิเศษขาดอายุความหรือไม่พิเคราะห์แล้ว สัมปทานปิโตรเลียมที่โจทก์ที่ 1 ออกให้แก่จำเลยกับพวกเป็นการอนุญาตให้จำเลยกับพวกมีสิทธิที่จะทำได้แต่ผู้เดียวในกิจการสำรวจการปิโตรเลียมภายในขอบเขตที่กำหนดซึ่งจำเลยกับพวกจะต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งให้แก่โจทก์ทั้งหมด แต่การจ่ายเงินผลประโยชน์มีจำนวนมากหลายรายการเพื่อผ่อนผันแบ่งเบาภาระให้แก่จำเลยจึงได้แบ่งชำระเป็นงวด ที่มีปัญหาก็คือ เงินผลประโยชน์พิเศษงวดที่ 3 ซึ่งในสัมปทานใช้คำว่า “กับทุกปีหลังจากนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องกันอีกสองปี” จะถือว่าเป็นการจ่ายเงินอื่น ๆ บรรดาที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิมที่จำเลยยกขึ้นฎีกาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เงื่อนไขดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์พึงได้รับประโยชน์จากการที่ยอมให้สัมปทานแก่จำเลย มิใช่เป็นเงินอื่น ๆ ที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา จึงไม่เป็นสิทธิเรียกร้องที่กำหนดอายุความไว้ 5 ปีตามมาตรา 166 เดิม ดังฎีกาจำเลย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เฉพาะเป็นอย่างอื่นจึงต้องใช้อายุความทั่วไปกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับเงินผลประโยชน์พิเศษจึงไม่ขาดอายุความฟ้องร้องส่วนเรื่องดอกเบี้ยแม้ว่าสัมปทานมิได้กำหนดไว้ เมื่อโจทก์บอกกล่าวแล้วตามหนังสือเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 และ 6 จำเลยไม่ชำระเงินผลประโยชน์พิเศษให้แก่โจทก์จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะโจทก์เตือนแล้ว โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันผิดนัดให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นดอกเบี้ยค้างส่งที่มีอายุความ 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิม คดีโจทก์เกี่ยวกับดอกเบี้ยที่เกินกว่า 5 ปี จึงขาดอายุความ ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 30,057,000 บาท นับจากวันฟ้องย้อนหลังลงไป 5 ปีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share