คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7295/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยปลอมใบถอนเงินของธนาคารโจทก์ร่วมโดยเขียนข้อความและลงลายมือชื่อปลอมของผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อเบิกถอนเงินมอบฉันทะให้จำเลยเป็นผู้เบิกถอนเงิน รับเงิน และรับสมุดบัญชีเงินฝาก แล้วจำเลยใช้และอ้างใบถอนเงินปลอมแก่พนักงานโจทก์ร่วม จนพนักงานโจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารสิทธิที่แท้จริง เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมต้องจ่ายเงินตามใบถอนเงินปลอมให้แก่จำเลย โจทก์ร่วมจึงเป็นบุคคลที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) และมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดฐานดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 และย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง
พฤติการณ์ของจำเลยที่ลักและเอาไปเสียซึ่งสมุดบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายแล้วปลอมใบถอนเงินของธนาคารโจทก์ร่วมเอาไปแสดงต่อพนักงานของโจทก์ร่วมเพื่อขอเบิกถอนเงิน เป็นการกระทำที่มีเจตนามุ่งหมายเพื่อให้ได้เงินจากธนาคารโจทก์ร่วมเป็นหลัก จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 188, 264, 265, 268, 334 ริบของกลาง และให้จำเลยคืนสมุดฝากเงินที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 และโจทก์ร่วมขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย 273,264.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยไม่ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่ง แต่รับว่าโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายตามคำร้องจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 265, 268 วรรคแรก วรรคสอง, 334 ประกอบมาตรา 264 (ที่ถูก มาตรา 188, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 334) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นและฐานลักทรัพย์เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสถานเดียว (ที่ถูก จำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมจึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมแต่กระทงเดียว) ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก กระทงละ 1 ปี รวม 10 กระทง เป็นจำคุกทั้งสิ้น 11 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี 6 เดือน ริบเอกสารปลอมของกลาง กับให้จำเลยคืนสมุดเงินฝากที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม 9 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมกับโทษในความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นอีก 1 ปี เป็นจำคุก 10 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กับยกอุทธรณ์ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมประการแรกว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมใบถอนเงินของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) อันเป็นเอกสารสิทธิขึ้นทั้งฉบับโดยนำแบบฟอร์มใบถอนเงินของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มาเขียนข้อความและลงลายมือชื่อปลอมของนายสถิตย์ และนายวิโรจน์ เบิกถอนเงินเพื่อให้พนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเลย หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารสิทธิที่แท้จริงที่ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายและมอบฉันทะให้จำเลยเป็นผู้เบิกถอนเงิน รับเงิน และรับสมุดบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายจากธนาคาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเลย และจำเลยใช้และอ้างเอกสารใบถอนเงินที่จำเลยปลอมขึ้น พร้อมสมุดเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเลย ของผู้เสียหาย และบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยต่อพนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเลย เพื่อให้พนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเลย หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงที่นายสถิตย์และนายวิโรจน์ ทำขึ้นเพื่อขอเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดเลย โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ดังนี้ การกระทำของจำเลยในการปลอมใบถอนเงินของโจทก์ร่วมย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมแล้ว และผลการใช้ใบถอนเงินปลอมของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมต้องจ่ายเงินตามใบถอนเงินปลอมให้แก่จำเลย โจทก์ร่วมจึงเป็นบุคคลที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) และมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมประการต่อไปว่า โจทก์ร่วมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายและได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม โจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง คดีนี้โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม แต่ศาลชั้นต้นมิได้พิจารณาพิพากษาว่าจำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมเพียงใด เป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ แต่เพื่อไม่ให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาก่อน เห็นว่า จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายตามคำร้อง ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 จึงเห็นควรให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมตามคำขอ ฎีกาของโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์และเอาไปเสียซึ่งเอกสารกับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมกระทงแรกเป็นความผิดสองกรรม โดยลงโทษฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารและลักทรัพย์กระทงหนึ่งกับลงโทษฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่งนั้น เห็นว่า ยังไม่ถูกต้องเพราะตามพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยในการลักสมุดบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายและเอาไปเสียซึ่งสมุดบัญชีเงินฝากดังกล่าวแล้วปลอมลายมือชื่อของนายสถิตย์ และนายวิโรจน์ ในใบถอนเงินของโจทก์ร่วม จากนั้นนำใบถอนเงินพร้อมสมุดบัญชีเงินฝากไปแสดงต่อพนักงานของธนาคารโจทก์ร่วมเพื่อขอเบิกถอนเงิน เป็นการกระทำที่มีเจตนามุ่งหมายเพื่อจะให้ได้เงินจากธนาคารโจทก์ร่วมเป็นหลัก ซึ่งแม้การกระทำนั้นๆ จะเป็นความผิด แต่ก็เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาได้เป็นความผิดสองกรรมต่างกันดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไม่ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 195 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และที่โจทก์ร่วมเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามานั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 253 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ คำขอของผู้เสียหายขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนมิให้เรียกค่าธรรมเนียม จึงเห็นควรคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่โจทก์ร่วม
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารและลักทรัพย์ กับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมกระทงแรก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม 8 กระทงแล้ว เป็นจำคุก 4 ปี 6 เดือน ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 273,264.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share