คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมาย จึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 175, 180, 264, 265, 266(4)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องในข้อหาความผิดฐานปลอมเอกสาร ฟ้องเท็จ และแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 180, 264, 265, 266(4), 83, 91ไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดดังฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดดังฟ้องแต่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 1 จึงลงโทษจำเลยที่ 2ไม่ได้ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175, 180 วรรคสอง, 266(4), 83 การแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามมาตรา 180 วรรคสอง เป็นการใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา 266(4) ของจำเลยที่ 1 เอง จึงลงโทษตามมาตรา 266(4) แต่กระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา266(4) ให้ปรับ 16,000 บาท ความผิดฐานฟ้องเท็จให้ปรับ 8,000 บาทเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมปรับ 24,000 บาทหากไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ใช้ค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วยนั้น เห็นว่า คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยอาศัยข้อเท็จจริง ส่วนศาลอุทธรณ์ภาค 1จะยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยอาศัยข้อกฎหมายก็ตาม คดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 เมื่อฎีกาของโจทก์ต้องห้ามเสียแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share