คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5776/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ยื่นฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งเป็นค่าทนายความที่โจทก์ต้องใช้แทนจำเลยทั้งสองชั้นอุทธรณ์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 247 ประกอบมาตรา 229 ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาได้ทันที แม้ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดในการยื่นฎีกาแล้ว โจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์พร้อมกับนำเงินค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลก็ตาม แต่การวางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นเวลาภายหลังที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์แล้ว ย่อมไม่มีผลทำให้ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมายอันควรรับไว้พิจารณาโจทก์จะอ้างว่าไม่มีเจตนาหรือจงใจที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้เพราะมาตรา 247 ประกอบมาตรา 229 บัญญัติไว้โดยแจ้งชัดว่าโจทก์ผู้ฎีกาจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามข้อกำหนดอันเป็นการบังคับโดยไม่มีบทกฎหมายบัญญัติเปิดช่องไว้เป็นอย่างอื่นเพื่อให้พิจารณาถึงการไม่มีเจตนาหรือจงใจของผู้ฎีกา
เจ้าหน้าที่ศาลคงมีหน้าที่ตรวจสอบเฉพาะในเรื่องค่าขึ้นศาลว่าโจทก์ผู้ฎีกาชำระถูกต้องหรือไม่และมีหน้าที่เรียกให้โจทก์ผู้ฎีกาชำระให้ครบถ้วน แต่ค่าธรรมเนียมที่ต้องนำมาวางศาลเพื่อชำระแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ย่อมล่วงรู้และอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ผู้ฎีกาจะต้องดำเนินการเอง โจทก์จึงไม่อาจกล่าวอ้างถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ศาลมาเป็นเหตุแก้ตัวในความผิดพลาดบกพร่องของตนได้
กรณีไม่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลพร้อมฎีกา ไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนและร่วมกันใช้ค่าเสียหาย กับค่าเสียหายเป็นเดือน นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคา กับให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสอง 5,000 บาท โจทก์ฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 247 ประกอบมาตรา 229 จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ และโจทก์วางเงินค่าธรรมเนียมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่โจทก์จะต้องใช้แทนจำเลยทั้งสอง 5,000 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับฎีกาของโจทก์ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ ส่วนค่าทนายความใช้แทนจำเลยทั้งสองชั้นอุทธรณ์ที่โจทก์นำมาวางจำนวน 5,000 บาท นั้น ให้โจทก์รับคืนไป

โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่โจทก์ยื่นฎีกาโดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247ประกอบมาตรา 229 และศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์แล้วนั้นกรณีตามฎีกาของโจทก์มีเหตุจะเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 247 ประกอบมาตรา 229 บัญญัติบังคับไว้ว่า ผู้ฎีกาต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับฎีกานั้นด้วย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งเป็นค่าทนายความที่โจทก์ต้องใช้แทนจำเลยทั้งสองชั้นอุทธรณ์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกาย่อมเป็นการไม่ชอบ ดังนั้นศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ได้ทันที แม้ในวันที่ 19กุมภาพันธ์ 2542 เมื่อพ้นกำหนดในการยื่นฎีกาแล้ว โจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์พร้อมกับนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งเป็นค่าทนายความที่โจทก์ต้องใช้แทนจำเลยทั้งสองชั้นอุทธรณ์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลก็ตามแต่การวางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวนั้น เป็นเวลาภายหลังที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์แล้วย่อมไม่มีผลทำให้ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมายอันควรรับไว้พิจารณา ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าไม่ได้วางค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนจำเลยทั้งสองพร้อมกับฎีกา เพราะไม่มีเจตนาหรือจงใจที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็ดี หรืออ้างว่าเจ้าหน้าที่ศาลคิดค่าฤชาธรรมเนียมแล้วแจ้งว่าถูกต้องครบถ้วนแล้วก็ดี หาเป็นเหตุโดยชอบที่จะสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาไม่เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247ประกอบมาตรา 229 ดังกล่าวบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดว่าโจทก์ผู้ฎีกาจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามข้อกำหนดอันเป็นการบังคับดังกล่าวโดยไม่มีบทกฎหมายบัญญัติเปิดช่องไว้เป็นอย่างอื่นเพื่อให้พิจารณาถึงการไม่มีเจตนาหรือจงใจของผู้ฎีกาแต่อย่างใดไม่ ทั้งการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ศาลตรวจสอบค่าฤชาธรรมเนียมว่าครบถ้วนแล้วก็ไม่อาจรับฟังได้ เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของโจทก์ผู้ฎีกาที่ต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามบทบัญญัติของกฎหมายข้างต้น เจ้าหน้าที่ศาลคงมีหน้าที่ตรวจสอบเฉพาะในเรื่องค่าขึ้นศาลว่าโจทก์ผู้ฎีกาชำระถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ หากชำระไม่ถูกต้องครบถ้วนเจ้าหน้าที่ศาลดังกล่าวมีหน้าที่เรียกให้โจทก์ผู้ฎีกาชำระให้ครบถ้วนแต่ค่าธรรมเนียมที่ต้องนำมาวางศาลเพื่อชำระแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ย่อมล่วงรู้และอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ผู้ฎีกาจะต้องดำเนินการเองโจทก์จึงไม่อาจกล่าวอ้างถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ศาลมาเป็นเหตุแก้ตัวในความผิดพลาดบกพร่องของตนได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นอาจใช้ดุลพินิจและมีคำสั่งให้โจทก์ดำเนินการแก้ไขโดยกำหนดระยะเวลาให้โจทก์วางค่าธรรมเนียมก่อนสั่งไม่รับฎีกาจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมนั้น เห็นว่า กรณีไม่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลพร้อมกับฎีกา ไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดระยะเวลาให้โจทก์วางค่าธรรมเนียมเสียก่อน และสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share