แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จะเกิดที่งอกริมตลิ่งเข้าไปในทางน้ำสาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) ก็ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ซึ่งตกได้แก่เจ้าของที่ดินที่เกิดที่งอกนั้นเปลี่ยนแปลงไป เจ้าของที่ดินที่เกิดที่งอกย่อมนำไปขอออกโฉนดที่ดินได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นกรมในรัฐบาล ทางราชการได้ประกาศให้คลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน ตั้งแต่แม่น้ำแควสีกุก อำเภอเสนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงแม่น้ำสุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้าจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นทางน้ำชลประทานประเภท 2 และให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาของโจทก์ จำเลยทั้งสองเป็นทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกของนายหนุน กาหลง ในระหว่างมีชีวิตนายหนุนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1316 เนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน4 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลเสนา (ปลายนาใต้) อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายหนุนได้ขุดบ่อเลี้ยงปลาในที่ดินด้านที่ติดกับทางน้ำชลประทานโดยทำทำนบพูนดินเป็นเหตุทำให้ทำนบถูกฝนตกชะพังทะลายลงในทางน้ำทั้งโจทก์ก็เคยใช้เรือขุดลอกทางน้ำและเรือขุดได้พ่นดินเลนขึ้นไปบนบกติดที่ดินนายหนุน ทำให้สายน้ำด้านที่ติดที่ดินนายหนุนตื้นเขินกลายเป็นที่งอกล้ำเข้าไปในทางน้ำเป็นเนื้อที่ 4 ไร่1 งาน 30 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณะ ส่วนที่งอกดังกล่าวมิได้งอกออกตามธรรมชาติ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2482 นายหนุนได้ยื่นคำขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินซึ่งเพิ่มขึ้นดังกล่าวต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาขาอำเภอเสนา แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปทำการรังวัดแล้วและคณะกรรมการอำเภอเสนาเห็นว่า เป็นที่สาธารณประโยชน์จึงได้ยกคำขอออกโฉนดดังกล่าว ต่อมา เมื่อวันที่17 กุมภาพันธ์ 2502 นายหนุนได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดอีกและในที่สุดทางราชการได้ออกโฉนดเลขที่ 11961 ให้ ขอศาลพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 11961 เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 30 ตารางวา และสั่งว่าการออกโฉนดที่ดินที่โจทก์ให้เพิกถอนดังกล่าวเป็นโมฆะคงให้เหลือเฉพาะโฉนดที่ดินเลขที่ 1316 เดิม ให้ที่ดินโฉนดที่โจทก์ขอให้เพิกถอนทั้งหมดเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในความครอบครองดูแลของโจทก์ ให้จำเลยและบริวารรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปให้พ้นเขตที่ดินของโจทก์และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินนี้อีกต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า นายหนุนได้ขอรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาทตรงที่งอกหน้าโฉนดของนายหนุน และออกโฉนดที่ดินนอกเขตชลประทานคลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน (แม่น้ำสายเก่าปลายนา) เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ออกโฉนดที่พิพาทโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก่อนมีการออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่นายหนุนเจ้าพนักงานของโจทก์ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจและลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินแทนโจทก์แล้ว ที่พิพาทที่ออกโฉนดเป็นที่งอกริมตลิ่งตามธรรมชาติมิได้ทับที่สาธารณะและมิได้อยู่ในเขตชลประทานดังโจทก์อ้าง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ทางน้ำชลประทานคลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หนแคบลงจากเดิมก็โดยเกิดที่งอกริมตลิ่งเพิ่มขึ้นกลายเป็นดินแข็งริมตลิ่งยื่นเข้าไปในทางน้ำและมีราษฎรปลูกบ้านอยู่อาศัยตลอดแนวริมตลิ่งเต็มไปหมดโดยพิสูจน์ได้ว่าเป็นที่งอกจากต้นไม้ต้นใหญ่ซึ่งตามริมน้ำ นอกจากที่ดินพิพาทยังมีที่ดินของนางปริก ไกรพืชซึ่งอยู่ติดกับที่ดินพิพาททางทิศตะวันตกและเกิดที่งอกริมตลิ่งและได้ออกโฉนดแล้ว ที่โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าเมื่อคลองเจ้าเจ็ดบางยี่หน ทางการประกาศให้เป็นทางน้ำชลประทานประเภท 2แล้ว คลองดังกล่าวก็ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3)แม้จะเป็นที่งอกริมตลิ่งก็ไม่อาจนำไปออกโฉนดได้นั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ได้บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่งที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น” ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่าแม้จะเกิดที่งอกเข้าไปในทางน้ำสาธารณะก็ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ซึ่งตกได้แก่เจ้าของที่ดินแปลงนั้นเปลี่ยนแปลงไป เจ้าของที่ดินย่อมนำไปขอออกโฉนดที่ดินได้
พิพากษายืน