แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตกับความผิดฐานนำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ เป็นความผิดต่อกฏหมายคนละฉบับซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำผิดแตกต่างแยกจากกันได้ สำหรับความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองนั้น สาระสำคัญอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเมื่อใด ก็เกิดเป็นความผิดสำเร็จขึ้นเมื่อนั้น ส่วนการนำกัญชาซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำย่อมเป็นความผิดเมื่อจำเลยฝ่าฝืนนำเข้าไป ซึ่งเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหาก เพราะจำเลยมีเจตนาที่แยกต่างหากจากการกระทำผิดฐานแรก แม้กัญชาของกลางในความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นจำนวนเดียวกันก็ตามการที่จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองและนำกัญชาดังกล่าวเข้าไปในเรือนจำ จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาแห้ง 1 ห่อ หนัก 5.5 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำกัญชาดังกล่าวซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 76, 102 พระราชบัญญัติราชทัณฑ์พ.ศ. 2479 มาตรา 45, 58 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบของกลางและนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาเรื่องอื่นของศาลชั้นต้นจำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 76 ซึ่งเป็นบทหนักจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน และปรับ400 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ริบของกลาง นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้องและจำเลยให้การรับสารภาพฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยมีกัญชาแห้งซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จำนวน 1 ห่อ หนัก 5.5 กรัมไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522กับจำเลยได้นำกัญชาดังกล่าวซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามมิให้นำเข้ามาหรือเก็บรักษาไว้ในเรือนจำ เข้าไปในเรือนจำจังหวัดสุพรรณบุรีอันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 มาตรา 45พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต กับความผิดฐานนำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำเป็นความผิดต่อกฎหมายคนละฉบับ ซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำผิดแตกต่างแยกจากกันได้ สำหรับความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองนั้นสาระสำคัญอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเมื่อใด ก็เกิดเป็นความผิดสำเร็จขึ้นเมื่อนั้น ส่วนการนำกัญชาซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ ย่อมเป็นความผิดเมื่อจำเลยฝ่าฝืนนำเข้าไปซึ่งเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหากเพราะจำเลยมีเจตนาที่แยกต่างหากจากการกระทำผิดฐานแรก แม้กัญชาของกลางในความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นจำนวนเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หาใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์พ.ศ. 2479 มาตรา 45 อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษปรับ 400 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงปรับ 200 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์