คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยพิพาทเป็นคดีสองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาท อีกคดีหนึ่งเป็นคดีพิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์คงพิพากษาแก้เฉพาะสำนวนมีทุนทรัพย์ให้แบ่งทรัพย์ที่ฟ้องคนละครึ่ง จำเลยเป็นฝ่ายฎีกาขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร ในคดีพิพาทไม่มีทุนทรัพย์ทั้งไม่มีเหตุสำหรับฎีกา ประกอบทั้งคดีที่พิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และถือว่าจำเลยฎีกาขึ้นมาเพียงคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาทคดีเดียว
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์

ย่อยาว

คดีสองเรื่องนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและพิพากษารวมกันมา จึงได้พิพากษารวมกัน

คดีดำที่ 415/2498 (คดีแดงศาลเดิมที่ 334/2496) ผู้ร้อง ๆ ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินสวนทุเรียน 1 แปลงเนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลหนองบ่อกิ่งอำเภอตาขาวจังหวัดตรัง ที่แปลงนี้เดิมเป็นของนางล่วน ป้าสะไภ้ผู้ร้อง นางล่วนได้ยกให้ผู้ร้อง ๆ ครอบครองมาด้วยเจตนาเป็นเจ้าของด้วยความสงบและเปิดเผยเป็นเวลาติดต่อกันมา 25 ปีแล้ว ขอให้ศาลสั่งให้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง

ผู้ร้องทั้งสองคัดค้านว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนายสีผู้เสมือนไร้ความสามารถและอยู่ในความปกครองของนายญาน นายสีครอบครองได้ราว 25 ปี ต่อมาได้ทำหนังสือยกให้นายเทาสร้าง ๆครอบครองมา 10 ปีเศษแล้วขอให้ยกคำร้อง

เมื่อมีผู้คัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คดีกลายเป็นคดีมีข้อพิพาทให้ถือว่านายจั่นเป็นโจทก์นายเทาสร้าง นายญานเป็นจำเลย

เมื่อศาลสั่งแล้วโจทก์ยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องว่าความจริงสวนพิพาทนี้เป็นของนายจั่นและนายสีมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของร่วมกันหรือถ้าจะถือตามคำสั่งที่นางล่วนเจ้าของสั่งไว้แล้ว ทั้งโจทก์และนายสีบิดาต่างไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่แปลงนี้เพราะนางล่วนสั่งให้ปกครองแทนและให้ลูก ๆ หลาน ๆ เก็บกินได้ทั่วกัน ดังนั้นนายสีจึงไม่มีอำนาจจะเอาไปยกให้ใคร อนึ่งนายสีเคยให้ ให้การไว้ต่อศาลในคดีแพ่งเลขแดงที่ 122/2494 ว่าสวนนี้มิได้ยกให้ใคร

ศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งในคำร้องว่าส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อโต้แย้ง แต่ฝ่ายนายญวน นายเทาสร้างก็ไม่ได้โต้แย้งอย่างใดศาลชั้นต้นก็มิได้ทำคำสั่งว่าอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องได้หรือไม่

คดีดำที่ 757/2498 (คดีแดงของศาลเดิมที่ 335/2496) โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของสวนทุเรียนแปลงดังกล่าวมาแล้ว สวนนี้เป็นของนางล่วน นางล่วนมอบให้โจทก์และนายสีบิดาโจทก์ครอบครองการที่นายสียกสวนทุเรียนนี้ให้แก่จำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ทั้งนายสีเคยให้การไว้ในคดีแดงที่ 122/2494 ว่าไม่ได้ยกสวนทุเรียนให้ใคร ฉะนั้นหนังสือที่นายสีทำยกสวนทุเรียนให้แก่จำเลยจึงเป็นการใช้ไม่ได้ต่อไปตามคำให้การของนายสี จึงขอให้เพิกถอนหนังสือนี้เสียและบังคับให้จำเลยไปเพิกถอนการรับโอนที่สวนรายนี้ด้วย

จำเลยสู้ว่าที่สวนทุเรียนพิพาทนี้นางสีได้มาจากนางล่วนโดยเสียค่าตอบแทน นายสีโอนยกให้แก่จำเลยโดยโจทก์รู้แล้วแต่ไม่คัดค้าน ได้จดทะเบียนการยกให้ตามกฎหมายและจำเลยเข้าครอบครองมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืนหรือขอให้เพิกถอนเอกสารการยกให้

ศาลชั้นต้นฟังว่าหนังสือที่นายสีทำยกสวนทุเรียนให้จำเลยเป็นการถูกต้องแท้จริง และจำเลยครอบครองสวนทุเรียนมากว่า 10 ปีแล้วสวนทุเรียนต้องเป็นของจำเลย จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งสองคดีให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมกับค่าทนายรวม 180 บาทแทนจำเลย

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่านายสีได้ทำหนังสือต่ออำเภอยกสวนทุเรียนพิพาทให้แก่จำเลย แม้นายสีจะให้การต่อศาลว่าไม่ได้ยกสวนทุเรียนให้ใครก็ดี ก็เป็นถ้อยคำที่ไม่ตรงต่อความจริง ไม่ทำให้หนังสือนั้นเสียไป อุทธรณ์ของโจทก์จึงฟังไม่ได้ ส่วนสวนทุเรียนที่พิพาทนั้น แม้ชั้นต้นนายสีจะเป็นแต่ผู้ครอบครองแทนนางล่วนก็ดีแต่เมื่อนางล่วนตายแล้ว หน้าที่ตัวแทนก็สิ้นไป การที่นายสียังครอบครองสวนอยู่ต่อมาเป็นการครอบครองของนายสีเองโดยมีวัตถุประสงค์เดียวกับที่ได้รับมอบหมายจากนางล่วน เพราะไม่ปรากฏว่านายสีได้ครอบครองในฐานะเจ้าของนายสีจึงได้แต่สิทธิครอบครองและไม่มีกรรมสิทธิ์ที่จะยกให้แก่จำเลยได้ แต่เมื่อนายสีไปทำหนังสือยกให้จำเลย ๆ เข้าครอบครองโดยสงบเปิดเผยในฐานะเป็นเจ้าของเป็นเวลาถึง 10 ปี จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์ก็ได้ครอบครองร่วมกันมากับนายสีและจำเลย เมื่อจำเลยเข้าครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของตามส่วนที่นายสียกให้แล้วก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ซึ่งครอบครองร่วมกับจำเลยก็คงครอบครองในฐานะเช่นเดียวกัน โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในสวนพิพาทร่วมกับจำเลยคือมีส่วนเท่ากันคนละครึ่ง จึงพิพากษาแก้ว่าให้แบ่งสวนพิพาทนี้ระหว่างโจทก์จำเลยคนละครึ่ง ถ้าไม่ตกลงก็ให้ประมูลระหว่างกัน ถ้าประมูลไม่ตกลงก็ให้ขายทอดตลาดแบ่งเงินกันคนละครึ่ง ค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาว่าคดีดำที่ 757/2498 นั้นเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ซึ่งในคดีเช่นนี้จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ โดยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จำเลยผู้ฎีกาขึ้นมา เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากคำพิพากษาของศาลและไม่มีเหตุอะไรจะต้องฎีกาสำหรับคดีนี้ ทั้งในฎีกาที่จำเลยยื่นขึ้นมาก็โต้แย้งคัดค้านเฉพาะคดีดำที่ 415/2498 ไม่ได้โต้แย้งอะไรในคดีดำที่ 757/2498 เลย จึงควรถือว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาเฉพาะคดีดำที่ 415/2498 คดีเดียว ไม่ได้ฎีกาคดีดำที่ 757/2498 ด้วย

ส่วนคดีดำที่ 415/2498 ที่จำเลยฎีกาขึ้นมา ข้อเท็จจริงได้ความชัดว่า ที่สวนพิพาทเป็นของนางล่วนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2471 นางล่วนได้ทำหนังสือขึ้นมีข้อความว่า ขอมอบให้นายสีและนายจั่น (โจทก์) เป็นผู้ปกครองรักษาไว้เป็นกลาง ถ้าลูกหลานคนใดไปขอผลไม้ในสวนก็ให้นายสีนายจั่นแบ่งให้กินตามควร โจทก์กับนายสีจึงได้เข้าปกครองที่สวนนี้มาจน พ.ศ. 2483 นายสีจึงไปทำหนังสือต่ออำเภอยกที่สวนพิพาทให้กับจำเลย ๆ จึงเข้าปกครองที่สวนร่วมมากับโจทก์จนบัดนี้ ดังนี้

ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยนางล่วนยกให้โจทก์ ๆ ปกครองมา 25 ปีแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางล่วนหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และนายสีปกครองรักษาไว้เป็นกลางเท่านั้นโจทก์จึงหามีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทนี้ไม่ ฉะนั้นโจทก์จะขอให้ศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไม่ได้

อนึ่งหากโจทก์จะได้ครอบครองเองอยู่ตลอดมาภายหลังที่นางล่วนตายแล้วจนบัดนี้ซึ่งเป็นเวลากว่า 20 ปีก็ดี ก็ไม่ทำให้ฐานะของโจทก์เปลี่ยนไปจากเดิม เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 บัญญัติว่า “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครองบุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก” แต่คดีนี้ไม่ปรากกว่าโจทก์แสดงออกอย่างใดว่าโจทก์จะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งนางล่วน ภายหลังที่นางล่วนตาย ยิ่งกว่านั้นโจทก์ยังเบิกความต่อศาลว่า โจทก์ไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่เลยว่าโจทก์เป็นเจ้าของสวนที่พิพาทนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่นายสีก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ การครอบครองของโจทก์ภายหลังที่นางล่วนตายจึงยังคงต้องถือว่าโจทก์ปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่ปกครองเพื่อเอาเป็นกรรมสิทธิ์ของตนฉะนั้นโจทก์จะได้กรรมสิทธิ์เพราะการครอบครองหาได้ไม่

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เสีย แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องร้องกันในทางเป็นมรดกของนางล่วนให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมทุกศาลกับค่าทนาย 3 ศาลเป็นเงิน 400 บาทแทนจำเลยและให้คืนค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาสำหรับสำนวนคดีดำที่ 757/2498ให้จำเลยไปด้วย

Share