แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ผลิตสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ที่ใช้ในการอุตสาหกรรมรวมทั้งผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปจำหน่ายอีกด้วย เมื่อโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงว่าสินค้าที่โจทก์ผลิตขายแม้จะไม่ใช่กาวแต่มีลักษณะทำนองเดียวกับกาว สินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ของโจทก์ที่ทำเป็นสินค้าสำเร็จรูป จึงต้องเสียภาษีการค้าตามกฎหมาย เพราะไม่ได้รับยกเว้นภาษีตามบัญชี 1 หมวด 5 (26) แห่งบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 ส่วนสินค้าโพลิไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ที่โจทก์ผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอุตสาหกรรมเป็นสินค้าตามประเภทการค้า 1 ชนิด 1 (ก) ของบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ย่อมได้รับการยกเว้นภาษีการค้าสำหรับการขายสินค้าของโจทก์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 5 (8) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลจำนวน ๑๑,๒๗๘,๔๒๕.๐๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์ กับพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า และให้จำเลยระงับการเรียกเก็บหรือประเมินภาษีการค้าสำหรับสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ หรือ พี.วี.เอ.ลาเท็กซ์ ของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้ผลิตสินค้าตามฟ้อง จำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตสีและผู้ผลิตอุตสาหกรรมอื่น เพื่อใช้ในกิจกรรมผลิตสีและอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ดังที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น แต่โจทก์ผลิตสินค้าดังกล่าวจำหน่ายให้แก่ร้านค้าขายส่งและบุคคลทั่ว ๆ ไป เพื่อนำไปใช้ทาติดสิ่งของต่าง ๆ เช่นการปูไม้ปาเก้ ปูกระเบื้องยาง การทำเฟอร์นิเจอร์ และอื่น ๆ ด้วย สินค้าของโจทก์เข้าลักษณะเป็นกาวหรือสินค้าอันมีลักษณะทำนองเดียวกันตามหมวด ๕ (๒๖) ของบัญชีที่ ๑ ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ ๕๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ ๙ ของรายรับ และไม่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามมาตรา ๕ (๘) แห่งพระราชกฤษฎีกาที่กล่าวแล้ว สินค้าที่โจทก์จำเลยเคยพิพาทและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเป็นสินค้าคนละชนิดกับสินค้าในคดีนี้ โจทก์อ้างสัญญาประนีประนอมยอมความมาใช้ยันจำเลยไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า สินค้าของโจทก์มุ่งหมายผลิตจำหน่ายแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในการนำไปใช้ทำสิ่งของเป็นสินค้า การที่มีผู้นำสินค้าของโจทก์ไปแบ่งขายให้แก่ประชาชนนำไปใช้อย่างอื่นผิดไปจากสภาพปกติของสินค้าที่ผลิตขึ้น ไม่ทำให้สินค้าของโจทก์กลายเป็นสินค้านอกจากที่ใช้ในการอุตสาหกรรม สินค้าของโจทก์จึงได้รับยกเว้นภาษีการค้าตามมาตรา ๕ (๘) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ ๕๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ พิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลแก่โจทก์รวม ๑๑,๒๗๘,๔๒๕.๐๗ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า สินค้าของโจทก์เป็นสินค้ากาวทั่วไปไม่ใช่สินค้าเพื่อการอุตสาหกรรมอย่างเดียวตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์จึงไม่ได้รับยกเว้นภาษี พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด โจทก์ประกอบการค้าผลิตสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ หรือ พี.วี.เอ.ลาเท็กซ์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับใช้ในการอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตสี อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นต้น มีปัญหาว่าโจทก์ผลิตสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปด้วยหรือไม่ เห็นว่า นอกจากโจทก์จะไม่ปฏิเสธใบส่งของตามที่จำเลยนำสืบแล้ว นายสุโชติ สวัสดิรักษ์ พยานโจทก์เบิกความว่าลูกค้าซื้อสินค้าของโจทก์ไปใช้ทาปูปาเก้ ปูกระเบื้องยาง ติดวัตถุระหว่างไม้กับซิเมนต์ และติดไม้กับไม้ก็ได้ และคดีได้ความจากคำเบิกความของนายบรรจง ภัทรเธียรไชย ผู้จัดการฝ่ายผลิตสินค้าของโจทก์ด้วยว่าสินค้าบางสูตรของโจทก์ลูกค้าสามารถนำไปใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องผสมกับวัสดุอื่นอีก เหตุผลตามรูปคดีจึงแสดงว่านอกจากโจทก์ผลิตสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ที่ใช้ในการอุตสาหกรรมแล้ว โจทก์ยังได้ผลิตสินค้าชนิดนี้เป็นสินค้าสำเร็จรูปจำหน่ายอีกด้วย จึงมีปัญหาว่า โจทก์ได้รับยกเว้นภาษีการค้าหรือจะต้องเสียภาษีการค้าสำหรับสินค้าที่โจทก์ผลิตหรือไม่เพียงใด เห็นว่าโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงมาตามที่โจทก์ฎีกาว่าสินค้าที่โจทก์ผลิตและขาย แม้จะไม่ใช่กายแต่ก็เป็นสินค้าอันมีลักษณะทำนองเดียวกับกาว ซึ่งตามบัญชีที่ ๑ หมวด ๕ เครื่องมือ เครื่องใช้ของใช้ (๒๖) แห่งบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ ๕๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ บัญญัติว่า “กาวหรือสินค้าอันมีลักษณะทำนองเดียวกัน นอกจากที่ใช้ในการอุตสาหกรรม” ฉะนั้นกาวหรือสินค้าอันมีลักษณะทำนองเดียวกันที่กล่าวถึงในที่นี้จึงหมายถึงสิ่งของที่เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ และของใช้ดังที่ระบุไว้ในตอนท้ายของหมวดสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ของโจทก์ที่เป็นสินค้าสำเร็จรูป จึงต้องเสียภาษีการค้าตามกฎหมาย เพราะไม่เข้าข่ายที่จะได้รับการยกเว้นหรือลดภาษีการค้าตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาที่กล่าวมาแล้วส่วนโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ที่โจทก์ผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอุตสาหกรรมนั้น เนื่องจากบัญชีที่ ๑ หมวด ๕ (๒๖) ตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาข้างต้น บัญญัติไว้ดังกล่าวมาแล้ว จึงแสดงว่าสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ของโจทก์เป็นสินค้าที่มิได้ระบุไว้ในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาที่กล่าวถึง และเมื่อเป็นสินค้าที่ผลิตในราชอาญาจักร ทั้งเป็นสินค้าตามประเภทการค้า ๑ ชนิด ๑ (ก) ของบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด ๔ ลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว โจทก์ย่อมได้รับยกเว้นภาษีการค้าสำหรับการขายสินค้าของโจทก์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕ (๘) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ ๕๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ เมื่อโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าและได้รับการยกเว้นภาษีการค้าดังกล่าวมาแล้ว มีปัญหาว่าจำเลยจะต้องคืนภาษีการค้าที่รับชำระไว้ให้โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า ภาษีการค้าที่โจทก์ขอคืนเป็นภาษีการค้าที่โจทก์ชำระตามหนังสือลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๒๗ ของจำเลย ซึ่งหนังสือดังกล่าวระบุไว้แจ้งชัดให้โจทก์จัดการชำระภาษีการค้าให้ถูกต้อง ทั้งนี้ตั้งแต่รายรับของเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ เป็นต้นไป ซึ่งโจทก์นำสืบว่ารายรับที่โจทก์ใช้คำนวณภาษีการค้า เป็นรายรับที่โจทก์ขายสินค้าให้กับลูกค้าที่ซื้อไปใช้ในการอุตสาหกรรม โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า เมื่อจำเลยนำสืบหักล้างไม่ได้ และที่นำสืบว่าโจทก์ขายสินค้าสำเร็จรูปให้กับลูกค้ารายย่อยตามใบส่งของเอกสารหมาย ล.๑ นั้น ก็ปรากฏว่าเป็นการขายในปี ๒๕๒๔ คนละเรื่องกับภาษีการค้าปี ๒๕๒๗ ที่โจทก์ขอคืนจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องคืนภาษีการค้าที่รับชำระไว้ทั้งหมดให้โจทก์
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น