คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1635/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่า จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ก็ตามก็ต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องในความผิดข้อหานี้แล้วเมื่อศาลอุทธรณ์มิได้แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ จึงถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องในข้อหานี้ด้วยความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83, 91, 288, 340, 340 ตรี พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 1,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 340 วรรคท้าย, 340 ตรี ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้าย อันเป็นบทหนัก ให้ประหารชีวิตและไม่อาจเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรีเนื่องจากลงโทษประหารชีวิตแล้ว ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 1,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ริบปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาฆ่าผู้อื่นและปล้นทรัพย์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1ตามฟ้องโจทก์นั้น เห็นว่า ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 และ 72 ทวิ นั้น ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในคำพิพากษาแล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดแม้ว่าศาลชั้นต้นไม่ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในคำพิพากษาก็ตาม ก็ต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองข้อหานี้แล้วเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ให้เป็นอย่างอื่น จึงถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์ในสองข้อหานี้ด้วย ข้อหาทั้งสองดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่โจทก์ฎีกาทั้งสองข้อหานี้มาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกฆ่าคนตายโดยเจตนาและร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยใช้ยานพาหนะในการพาทรัพย์ไป แต่เห็นว่าข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นควรลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 340 วรรคท้าย, 340 ตรี การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา340 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ซึ่งไม่อาจเพิ่มโทษตามมาตรา 340 ตรี ได้อีก ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 42(1)คงจำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share