แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช็คพิพาทตามฟ้องเป็นเช็คผู้ถือและตามคำให้การจำเลยไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้เช็คมาโดยมิชอบอย่างไรทั้งข้อต่อสู้ว่าหนี้ระงับก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับส. ซึ่งเป็นผู้ทรงคนก่อนโดยจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คมาโดยคบคิดกันฉ้อฉลร่วมกับส. และแม้จะพิจารณาตามคำให้การจำเลยก็ไม่มีข้อที่จะทำให้จำเลยพ้นความรับผิดตามเช็คที่โจทก์ฟ้องได้จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งงดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามเช็ค
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารทหารไทย จำกัดสาขาราชบุรี ลงวันที่ 21 กันยายน 2536 จำนวนเงิน 100,000 บาทชำระหนี้เงินยืมให้โจทก์ ต่อมาโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถาม จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 100,145.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินยืมตามฟ้องแต่มอบให้นายเสรี คงขวัญเมืองสามีโจทก์ เพื่อเป็นหลักประกันในการทำวิทยานิพนธ์ให้นายเสรีโดยตกลงกันว่า หากจำเลยทำวิทยานิพนธ์เสร็จ และนายเสรีจบปริญญาโทแล้ว เงินตามเช็คพิพาทจะจ่ายเป็นค่าจ้างทำวิทยานิพนธ์หากจำเลยทำวิทยานิพนธ์ไม่เสร็จ จำเลยจะต้องคืนเงินตามเช็คให้นายเสรี ต่อมาจำเลยทำวิทยานิพนธ์ให้นายเสรีเสร็จสิ้นจนได้รับปริญญาโท จำเลยทวงเช็คพิพาทจากนายเสรี แต่นายเสรีอ้างว่าเช็คพิพาทสูญหาย จำเลยไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทเพราะไม่มีมูลหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาท ต่อมาโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงิน ตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 ศาลชั้นต้น เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานจึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2537 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 145.83 บาท ตามที่โจทก์ขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์กับนายเสรีคบคิดกันฉ้อฉลโอนเช็คพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 จำเลยหาอาจเอาประโยชน์แห่งมาตราดังกล่าวมาต่อสู้คดีได้ จึงไม่จำต้องสืบพยานนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้เงินยืมแก่โจทก์จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้มอบเช็คให้แก่โจทก์เพื่อการชำระหนี้เงินยืมตามฟ้อง จำเลยมอบเช็คให้แก่นายเสรีสามีโจทก์เพื่อเป็นหลักประกันในการที่จำเลยทำวิทยานิพนธ์ให้แก่นายเสรี ได้เสร็จและจบปริญญาโทเมื่อใด นายเสรีจะจ่ายเงินจำนวนตามเช็คเป็นค่าจ้างทำวิทยานิพนธ์ให้แก่จำเลย จำเลยได้เขียนวิทยานิพนธ์เสร็จจนนายเสรีได้รับปริญญาโทแล้ว จำเลยทวงเช็คคืนจากนายเสรี นายเสรีอ้างว่าเช็คสูญหายไปและพ้นกำหนดการจ่ายเงินแล้วการที่โจทก์นำเช็คมาฟ้อง จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีมูลหนี้ถ้าหากมีมูลหนี้ โจทก์ก็ต้องนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารภายใน 6 เดือน ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้มอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินยืมตามฟ้อง แต่สั่งจ่ายเช็คมอบให้นายเสรีเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ของนายเสรีซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์จำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า เช็คพิพาทตามฟ้องเป็นเช็คผู้ถือ และตามคำให้การจำเลยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้เช็คมาโดยมิชอบอย่างไร ทั้งข้อต่อสู้ว่าหนี้ระงับก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับนายเสรีซึ่งเป็นผู้ทรงคนก่อนโดยจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า โจทก์ได้รับโอนเช็คมาโดยคบคิดกันฉ้อฉลร่วมกับนายเสรี และแม้จะพิจารณาตามคำให้การจำเลยก็ไม่มีข้อที่จะทำให้จำเลยพ้นความรับผิดตามเช็คที่โจทก์ฟ้องได้ศาลชั้นต้นงดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามเช็คชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น