คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10228/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายออกจากบ้านโดยหลบหนีมารดาแล้วไปกับจำเลยย. และป. เองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากมารดาผู้เสียหายขณะเกิดเหตุมีอายุเพียง13ปีเศษอยู่ในอำนาจปกครองของมารดาการที่จำเลยกับย. และป. ได้พาผู้เสียหายไปโดยมารดาผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วยนั้นย่อมเป็นการล่วงอำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหายแม้ผู้เสียหายจะสมัครใจยินยอมไปกับจำเลยและพวกก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากมารดาผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวจึงเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากมารดาแล้วทั้งเมื่อจำเลยและย. ได้หลบหนีออกจากบ้านงานไปก่อนโดยไม่นำผู้เสียหายกลับบ้านประกอบกับบ้านงานมีการเลี้ยงสุราและดมกาวซึ่งเป็นสารระเหยทั้งบ้านงานก็ไม่มีผู้หญิงมีแต่พวกของจำเลยซึ่งเป็นชายทั้งหมดดังนั้นการที่จำเลยกับพวกได้ร่วมกันพรากผู้เสียหายไปจึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคหนึ่ง,83

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 วรรคแรก, 83 จำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าผู้เสียหายเกิดวันที่ 28 พฤศจิกายน 2523 ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.1 ในขณะเกิดเหตุมีอายุ 13 ปีเศษ และพักอาศัยอยู่กับนายณรงค์และนางกุหลาบ เล็กเผือก บิดามารดาในซอยเจ้าปู่สุข ตำบลบางศรีเมือง อำเภอเมืองนนทบุรีจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2537 เวลาประมาณ 16 นาฬิกาผู้เสียหายเลิกเรียนแล้วขณะยืนคอยรถโดยสารประจำทางที่หน้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการบางใหญ่ นายยอดมาพบและชักชวนให้ผู้เสียหายไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดเหตุในเวลา 22 นาฬิกาครั้นถึงเวลานัดผู้เสียหายได้ชวนเด็กชายต่อสกุลเพื่อนนักเรียนซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกันไปด้วยโดยไปรออยู่ที่บ้านซอยเจ้าปู่สุขตามนัดนายยอด นายแป๊ะ และจำเลยขับรถจักรยานยนต์ 2 คัน มาถึงแล้วนายแป๊ะผู้ซึ่งขับรถจักรยานยนต์คันหนึ่งให้ผู้เสียหายและเด็กชายต่อสกุลนั่งซ้อนท้าย ส่วนจำเลยขับรถจักรยานยนต์อีกคันให้นายยอดซ้อนท้าย จากนั้นพากันไปที่บ้านนายแป๊ะซึ่งมีคนนั่งดื่มสุรากันอยู่ มีนายคมกริชและนายโตรวมอยู่ด้วยนายแป๊ะนำกาวซึ่งเป็นสารระเหยมาสูดดมและชวนผู้เสียหายกับเด็กชายต่อสกุลให้ดมด้วย แต่คนทั้งสองปฏิเสธ ต่อมาเวลา24 นาฬิกา ผู้เสียหายจะกลับบ้านแต่ไม่มีผู้ใดยอมไปส่งซึ่งก่อนหน้านี้จำเลยและนายยอดได้กลับไปแล้ว ผู้เสียหายและเด็กชายต่อสกุลจึงเดินออกจากบ้านนายแป๊ะ แต่นายคมกริชกับนายโตขับรถจักรยานยนต์มาดักไว้ แล้วนายคมกริชให้เด็กชายต่อสกุลนั่งซ้อนท้ายพาไปทิ้งไว้ที่สามแยกไทรน้อยห่างบ้านนายแป๊ะประมาณ 10 กิโลเมตร เด็กชายต่อสกุลรอผู้เสียหายจนถึงเวลา 3 นาฬิกา ผู้เสียหายไม่มาจึงเดินกลับบ้านเองส่วนผู้เสียหายนั้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายโตเพื่อกลับบ้าน แต่นายโตกลับพาผู้เสียหายไปหานายคมกริชและนายเจี๊ยบที่บ้านของนายเจี๊ยบ ผู้เสียหายไม่ยอมเข้าบ้านนายเจี๊ยบจึงทำร้ายโดยตบตีทุบแล้วพาผู้เสียหายซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปที่โรงแรมปาร์คอิน ผู้เสียหายร้องให้คนช่วยพนักงานโรงแรมมาพบ แต่นายเจี๊ยบพูดทำให้พนักงานโรงแรมไม่สนใจ แล้วนายเจี๊ยบนำผู้เสียหายเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราในห้องพักของโรงแรมดังกล่าวจนถึงเวลา 7 นาฬิกา จึงพาผู้เสียหายไปส่งที่ปากซอยเจ้าปู่สุขที่หน้าบ้านผู้เสียหาย ในคืนเกิดเหตุนางกุหลาบมารดาผู้เสียหายตามหาผู้เสียหายไม่พบตอนเช้าเมื่อพบผู้เสียหายแล้วผู้เสียหายแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทราบนางกุหลาบจึงพาผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจและแพทย์ตรวจพบร่องรอยการถูกข่มขืนของผู้เสียหาย ตามผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.2 นางกุหลาบพบนายแป๊ะและจำเลยจึงชี้ให้เจ้าพนักงานตำรวจจับ ชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพ ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่าผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อนายยอดชวนไปงานเลี้ยง ผู้เสียหายไม่ได้บอกนางกุหลาบให้ทราบ เพียงแต่ชวนเด็กชายต่อสกุลเพื่อนร่วมชั้นเรียนไปด้วยโดยหลบหนีออกจากบ้านเมื่อถึงเวลานัด และนางกุหลาบเบิกความว่า คืนนั้นตามหาผู้เสียหายไม่พบ ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ผู้เสียหายออกจากบ้านโดยหลบหนีนางกุหลาบมารดาแล้ว ไปกับจำเลย นายยอดและนายแป๊ะเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนางกุหลาบมารดาเมื่อผู้เสียหายาขณะเกิดเหตุมีอายุเพียง 13 ปีเศษ อยู่ในอำนาจปกครองของนางกุหลาบมารดา การที่จำเลยกับนายยอดและนายแป๊ะได้พาผู้เสียหายไปโดยมารดาผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วยนั้นย่อมเป็นการล่วงอำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจยินยอมไปกับจำเลยและพวกก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากมารดาผู้เสียหาย การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากมารดาแล้วทั้งเมื่อจำเลยและนายยอดได้หลบหนีออกจากบ้านงานไปก่อนโดยไม่นำผู้เสียหายกลับบ้าน ประกอบกับบ้านงานมีการเลี้ยงสุราและดมกาวซึ่งเป็นสารระเหยตามคำเบิกความของผู้เสียหายและเด็กชายต่อสกุลทั้งบ้านงานก็ไม่มีผู้หญิง มีแต่พวกของจำเลยซึ่งเป็นชายทั้งหมดดังนั้น การที่จำเลยกับพวกได้ร่วมกันพรากผู้เสียหายไป จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควร อนึ่ง เด็กชายต่อสกุลได้เบิกความว่า ก่อนมาเบิกความจำเลยไปหาพยานและบอกให้เบิกความว่านายยอดได้จ้างจำเลยให้ขับรถจักรยานยนต์ในคืนเกิดเหตุอีกด้วยข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้างว่านายยอดจ้างจำเลยจึงไม่น่ารับฟังพฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกได้ร่วมกันมารับผู้เสียหายไปดังกล่าวข้างต้น กรณีฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกได้กระทำผิดคดีนี้แล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคแรก ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่านายยอดเป็นผู้จ้างจำเลยนั้น ดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้นมาแล้วว่า เด็กชายต่อสกุลได้เบิกความว่า ก่อนมาเบิกความจำเลยไปหาพยานให้พยานเบิกความว่านายยอดจ้างจำเลยนั้น เมื่อเด็กชายต่อสกุลไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยดังนั้นเด็กชายต่อสกุลจึงได้เบิกความไปตามความจริงและไม่ได้เบิกความตามที่จำเลยขอร้องแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังกล่าวข้างต้นว่า นายยอดไม่ได้จ้างจำเลยให้ขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปรับผู้เสียหาย แต่เป็นกรณีที่จำเลยได้ร่วมกับพวกมีเจตนาร่วมกระทำความผิดมาแต่ต้น พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ข้างต้นได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share