แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยแถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้อง คู่ความประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ขอเลื่อนไปเจรจาในรายละเอียดอีกครั้ง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือฟังคำพิพากษาก็เพราะเห็นว่าถ้าคู่ความไม่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็พิพากษาคดีไปได้โดยไม่ต้องมีการสืบพยาน วันที่เลื่อนมาจึงไม่ใช่วันนัดสืบพยานโจทก์ เมื่อทนายจำเลยไม่มาศาล แต่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันนั้นเอง แล้วมีคำสั่งให้จำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจำเลยไม่ทราบล่วงหน้า เป็นการพิจารณาโดยขาดนัดที่ไม่ชอบและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นโดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ สาขาตลาดน้อยในวงเงิน 9,400,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี หากผิดเงื่อนไขตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชียอมให้โจทก์ปรับอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีและอาจเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้ตามที่โจทก์จะประกาศกำหนดเป็นคราว ๆ โดยจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 43287, 43290และ 43292 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกัน มีข้อตกลงว่ายอมชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน และให้โจทก์จัดการประกันภัยสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งบนทรัพย์จำนองโดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ จำเลยเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันภัยจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์หลายครั้ง แต่นำเงินเข้าหักทอนบัญชีเดินสะพัดของจำเลยเป็นจำนวนน้อย จนบัญชีเดินสะพัดของจำเลยเป็นหนี้เกินวงเงินที่โจทก์อนุมัติ โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีและจัดการไถ่ถอนจำนองให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าว จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2540 แต่จำเลยเพิกเฉยนับถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2540 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดบัญชีเดินสะพัด จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 11,868,277.64 บาท จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 8 กันยายน 2540 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 9 กันยายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 440,264.30 บาท กับโจทก์ได้ชำระเบี้ยประกันแทนจำเลย 2 ครั้งเป็นเงิน 6,741 บาท และ 6,482 บาท รวมต้นเงินดอกเบี้ยและค่าเบี้ยประกันภัยเป็นเงิน 12,321,764.94 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 12,321,764.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปีของต้นเงิน 11,868,277.64 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จหากไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 43287, 43290 และ43292 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว และยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 9,394,852.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระเงิน 6,741 บาท แก่โจทก์โดยให้หักเงินที่จำเลยชำระแล้วออกก่อน ณ วันที่มีการชำระส่วนที่เหลือหากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 43283 (ที่ถูกเลขที่ 43287), 43290และ 43292 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์หากไม่พอให้บังคับคดีจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยชำระหนี้โจทก์จนครบคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นปรากฏว่าจำเลยยื่นใบแต่งทนายความพร้อมคำให้การจำเลย แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับใบแต่งทนายความจึงมีคำสั่งไม่รับคำให้การจำเลยด้วยเมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การสิ้นสุดแล้ว โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และให้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2540ตามที่นัดไว้แล้ว ถึงวันนัดดังกล่าวทนายโจทก์และทนายจำเลยซึ่งยื่นใบแต่งทนายความฉบับใหม่ก่อนวันนัดมาศาล ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าคู่ความแถลงร่วมกันว่าคดีมีทางตกลงกันได้และประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ขอเลื่อนไปสักนัดเพื่อเจรจาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง และทนายจำเลยแถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้อง ศาลชั้นต้นให้เลื่อนคดีไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 มีนาคม 2540 ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งว่า นัดสืบพยานโจทก์วันนี้ ทนายจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง จึงมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาให้พิจารณาคดีและชี้ขาดตัดสินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จนเสร็จการพิจารณาและพิพากษาคดีในวันนั้นเอง เห็นว่า ในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2540 ทนายจำเลยได้แถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้อง คู่ความประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ขอเลื่อนไปเจรจาในรายละเอียดอีกครั้งการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 มีนาคม 2540 ก็เพราะศาลชั้นต้นเห็นว่าถ้าคู่ความไม่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็พิพากษาคดีไปได้โดยไม่ต้องมีการสืบพยาน วันที่ 25 มีนาคม 2540 จึงไม่ใช่วันนัดสืบพยานโจทก์ การที่ทนายจำเลยไม่มาศาล แต่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันนั้นเอง แล้วมีคำสั่งให้จำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจำเลยไม่มีโอกาสทราบล่วงหน้านั้น เป็นการพิจารณาโดยขาดนัดที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสอง การไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นโดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247 และเนื่องจากโจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระเงินเพิ่มขึ้นจนเต็มจำนวนที่ฟ้องแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยคดีไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาใหม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยแถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องแล้ว โจทก์ก็ไม่ต้องนำสืบแต่อย่างใดอีก เพราะข้อเท็จจริงย่อมฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีพร้อมดอกเบี้ย และค่าเบี้ยประกันภัย ที่โจทก์จัดการประกันภัยสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งบนทรัพย์จำนองของจำเลยตามฟ้องตามที่จำเลยแถลงรับ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และจัดการไถ่ถอนจำนองแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ แต่เนื่องจากสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาที่มีลักษณะพิเศษ ช่วงระยะเวลาที่คู่สัญญายังเดินสะพัดทางบัญชีกันอยู่ โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยในอัตราที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี แม้จะเป็นอัตราที่สูงกว่าที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 กำหนดไว้ แต่เมื่อมีการเลิกสัญญากันแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นตามอัตราที่กำหนดไว้ในสัญญาไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จสิ้น”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาให้พิจารณาคดีและชี้ขาดตัดสินคดีโจทก์ฝ่ายเดียว และเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสีย กับพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงินจำนวน 11,868,277.64 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จทั้งนี้ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง (วันที่ 7 พฤศจิกายน 2540) ต้องไม่เกิน440,264.30 บาท และชำระเงินจำนวน 13,223 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระให้ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 43287, 43290 และ 43292 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์