คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 315/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนจัดตั้งธนาคาร จ. โดยตกลงให้จำเลยทดรองจ่ายค่าจ้างแก่พนักงานของธนาคารรวมทั้งโจทก์ไปก่อน จำเลยจึงเป็นผู้ร่วมลงทุนถือหุ้นในธนาคารและเป็นแกนนำในการจัดตั้งธนาคาร จำเลยกับผู้ร่วมทุนทั้งหมดย่อมมีฐานะร่วมเป็นนายจ้างของโจทก์แต่โครงการจัดตั้งธนาคาร จ. ต้องระงับลงเพราะจำเลยกับบริษัท ซ. หนึ่งในผู้ร่วมทุนถูกทางราชการสั่งให้ระงับการดำเนินการ ธนาคาร จ. จึงไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้เป็นนายจ้างของโจทก์จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
คำฟ้องบรรยายถึงค่าจ้างค้างจ่าย อายุงาน และค่าจ้างอัตราสุดท้ายไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว เมื่อจำเลยไม่ให้ปฏิเสธก็ต้องถือว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์มีอายุงานค่าจ้างอัตราสุดท้าย และค่าจ้างค้างจ่ายตามฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31
แม้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา 37 วรรคสอง จะให้สิทธิแก่จำเลยที่จะยื่นคำให้การหรือไม่ก็ได้ แต่เมื่อจำเลยให้การเป็นหนังสือแล้วก็ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังนั้น เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การโดยชัดแจ้งในข้อใดย่อมถือว่าจำเลยให้การรับในข้อนั้นแล้วส่วนที่จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยรับที่จะจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์เพราะมิได้เป็นลูกจ้างของจำเลย เท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธในประเด็นนี้ชัดแจ้งแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31 โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่นำสืบในประเด็นนี้ประกอบสัญญาจ้างงานระบุว่า ในระหว่างที่ยังมิได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งธนาคาร จ. เป็นนิติบุคคล โจทก์จะได้รับสิทธิประโยชน์สวัสดิการต่าง ๆ ของจำเลยในส่วนที่มิได้ระบุไว้ในสัญญานี้ ยกเว้นเรื่องการจ่ายเงินโบนัสจะเป็นไปตามประกาศของโครงการธนาคาร จ. จนกว่าจะมีการจัดตั้งธนาคาร จ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โจทก์จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่าง ๆ ตามระเบียบข้อบังคับของธนาคาร จ. แสดงว่าโจทก์จะได้รับเงินโบนัสต่อเมื่อมีการจัดตั้งธนาคาร จ. เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อปรากฏว่าไม่อาจจัดตั้งธนาคารดังกล่าวได้ ทั้งระเบียบข้อบังคับของจำเลยไม่ได้กำหนดให้มีการจ่ายเงินโบนัสแก่พนักงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัส
แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้องไว้ในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางก็ตาม แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31 เมื่อพระราชกฤษฎีกา ดังกล่าวห้ามฟ้องไว้แต่เฉพาะในมาตรา 26 โดยห้ามมิให้บุคคลใดฟ้องบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องเป็นคดีล้มละลายในระหว่างดำเนินการตามแผนเพื่อการแก้ไขฟื้นฟูที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการองค์การเท่านั้น เมื่อคดีนี้ไม่ใช่คดีล้มละลายโจทก์จึงไม่ต้องห้ามฟ้องคดี

ย่อยาว

คดีทั้งสิบสามสำนวน ศาลแรงงานกลางให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 13

โจทก์ทั้งสิบสามสำนวนฟ้องมีใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสิบสามเข้าทำงานในส่วนของการเตรียมจัดตั้งธนาคาร กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบสามโดยโจทก์ทั้งสิบสามไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ทั้งจำเลยค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ 7 ที่ 8 และที่ 10ก่อนเข้าทำงานจำเลยแจ้งว่าจะจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์ทั้งสิบสาม ยกเว้นโจทก์ที่ 10เท่ากับอัตราเงินเดือน 4 เดือนต่อปี ตามสัดส่วนของระยะเวลาทำงานในแต่ละปีโจทก์ทั้งสิบสามยกเว้นโจทก์ที่ 10 จึงมีสิทธิได้รับเงินโบนัสปี 2540 ด้วย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินโบนัสแก่โจทก์แต่ละคนพร้อมทั้งดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด รายละเอียดปรากฏตามบัญชีสำหรับรวมพิจารณาคดี

จำเลยทั้งสิบสามสำนวนให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลย บริษัทเงินทุนจีซีเอ็น จำกัด (มหาชน) บริษัทเจเนอรัล เอเซีย จำกัด นายชินเวศ สารสาส และนายนุประพัทธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เรียกว่า ผู้ร่วมทุนกลุ่มที่ 1 และบริษัทเฟิรสท์สตีล อินดัสตรี้ จำกัด บริษัทเบทาโกรโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด นายเจริญรัตน์ วิไลลักษณ์ และนายอัตถพงษ์ ลีนุทพงษ์ เรียกว่าผู้ร่วมทุนกลุ่มที่ 2 ได้ร่วมกันร้องขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด(มหาชน) ซึ่งได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยต้องจัดตั้งและเปิดดำเนินกิจการธนาคารให้แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2540 เพื่อดำเนินการจัดตั้งธนาคารผู้ร่วมทุนและธนาคารเจเนรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) จึงจัดหาสถานที่ตั้งธนาคารรวมทั้งพนักงานธนาคารภายใต้โครงการจัดตั้งธนาคารเจเนรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) โดยประกาศรับสมัครพนักงานของธนาคาร และตกลงให้จำเลยทดรองจ่ายเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งเงินค่าจ้างแทนธนาคารไปก่อน โจทก์ทั้งสิบสามสมัครเป็นพนักงานของธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) ตามที่ธนาคารประกาศและทำงานให้ธนาคารเพื่อเตรียมการจัดตั้งธนาคารมาโดยตลอด จนถึงเดือนสิงหาคม 2540 จำเลยและบริษัทเงินทุนจีซีเอ็น จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ร่วมทุนถูกหน่วยงานราชการมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินการ ส่งผลให้โครงการจัดตั้งธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) ต้องระงับลง เท่ากับธนาคารดังกล่าวมิได้จัดตั้งขึ้น ธนาคารจึงไม่จำต้องว่าจ้างพนักงานรวมทั้งโจทก์ทั้งสิบสามเพื่อดำเนินการจัดตั้งธนาคารอีกต่อไป จำเลยมิได้เป็นนายจ้างโจทก์ทั้งสิบสามจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสิบสามพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องหากโจทก์ทั้งสิบสามมีสิทธิเรียกร้องตามฟ้องก็เป็นเรื่องของผู้เริ่มก่อการจะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งหมด อย่างไรก็ตามโจทก์ทั้งสิบสามไม่สามารถเรียกร้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ทุกคนนับแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2541 เป็นต้นไป ตามพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ข้อ 5 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทุนจัดตั้งธนาคารเจเนอรัลเอเซีย จำกัด (มหาชน) โดยตกลงให้จำเลยทดรองจ่ายค่าจ้างแก่พนักงานของธนาคารรวมทั้งโจทก์ทั้งสิบสามไปก่อน แสดงว่าจำเลยเป็นผู้ร่วมทุนถือหุ้นในธนาคารและเป็นแกนนำในการจัดตั้งธนาคาร จำเลยกับผู้ร่วมทุนทั้งหมดย่อมมีฐานะร่วมเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งสิบสาม โจทก์ทั้งสิบสามจึงเป็นลูกจ้างของจำเลย ต่อมาธนาคารมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบสามตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 ตามเอกสารหมาย จ.ล. 5โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถจัดตั้งธนาคารได้ จึงเป็นการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบสามโดยโจทก์ทั้งสิบสามไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ทั้งสิบสาม จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งถึงอัตราค่าจ้างและอายุงานตามฟ้องโจทก์ที่ 7 ที่ 8 และที่ 10 ยังไม่ได้รับค่าจ้างตามฟ้องด้วย ส่วนโจทก์ที่ 1 เข้าทำงานเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2540 นับถึงวันเลิกจ้างทำงานไม่ครบ 120 วัน ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สำหรับเงินโบนัส จำเลยมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยมีระเบียบหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการจ่ายเงินโบนัส ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ทั้งสิบสามฟ้องว่าจำเลยจะจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงานเท่ากับอัตราเงินเดือน 4 เดือนต่อปี ตามสัดส่วนของระยะเวลาทำงาน ในปี 2540 โจทก์ทั้งหมดยกเว้นโจทก์ที่ 10 มีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามสัดส่วนระยะเวลาการทำงานสำหรับดอกเบี้ย พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ข้อ 5 กำหนดให้บริษัทซึ่งถูกระงับดำเนินการไม่จำต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันที่พระราชกำหนดนี้ได้ประกาศใช้บังคับในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จำเลยจึงรับผิดชำระดอกเบี้ยถึงวันที่ 22พฤษภาคม 2541 อันเป็นวันที่พระราชกำหนดประกาศใช้เท่านั้น พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินโบนัสแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 11ถึงที่ 13 พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินของสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินโบนัส และค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ที่ 6 ถึงที่ 10 พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีและดอกเบี้ยในต้นเงินค่าจ้างค้างจ่ายตามฟ้องในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ทั้งนี้คิดดอกเบี้ยจนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 ตามบัญชีแนบท้ายคำพิพากษาศาลแรงงานกลางคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสิบสามสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่า ธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยและมีผู้ร่วมก่อการเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทน อีกทั้งโจทก์ทั้งสิบสามไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลย จนปัจจุบันนี้จำเลยก็ยังมิได้เข้าชื่อซื้อหุ้นธนาคารเจเนอรัล เอซีย จำกัด (มหาชน) จะถือว่าจำเลยเป็นผู้ร่วมทุนถือหุ้นมิได้ จำเลยมิได้มีส่วนควบคุมดูแลสั่งการหรือบังคับบัญชาโจทก์ทั้งสิบสาม จำเลยทดรองจ่ายค่าจ้างแทนธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) เท่านั้น จำเลยมิได้เป็นนายจ้างโจทก์ทั้งสิบสาม เห็นว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทุนจัดตั้งธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) โดยตกลงให้จำเลยทดรองจ่ายค่าจ้างแก่พนักงานของธนาคารรวมทั้งโจทก์ทั้งสิบสามไปก่อน จำเลยจึงเป็นผู้ร่วมทุนถือหุ้นในธนาคารและเป็นแกนนำในการจัดตั้งธนาคาร จำเลยกับผู้ร่วมทุนทั้งหมดย่อมมีฐานะร่วมเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งสิบสาม ประกอบกับข้อเท็จจริงปรากฏว่าโครงการจัดตั้งธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) ต้องระงับลงเพราะจำเลยกับบริษัทเงินทุน จีซีเอ็น จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ร่วมทุนถูกทางราชการสั่งให้ระงับการดำเนินการธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) จึงไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง มาใช้กับคดีแรงงานไม่ได้นั้น เห็นว่า แม้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 37 วรรคสอง จะให้สิทธิแก่จำเลยที่จะยื่นคำให้การหรือไม่ก็ได้ แต่เมื่อจำเลยให้การเป็นหนังสือแล้วก็ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การโดยชัดแจ้งในข้อใดย่อมถือว่าจำเลยให้การรับในข้อนั้นแล้ว อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่เงินโบนัสจำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยรับที่จะจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ทั้งสิบสาม เนื่องจากมิได้เป็นลูกจ้างของจำเลย เท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธในประเด็นนี้โดยชัดแจ้งแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 โจทก์ทั้งสิบสามจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง เมื่อโจทก์ทั้งสิบสามไม่นำสืบในประเด็นนี้ ประกอบกับสัญญาจ้างงานเอกสารหมาย จ.ล.4 ข้อ 4 ระบุว่า ในระหว่างที่ยังมิได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งธนาคารเจเนอรัลเอเซีย จำกัด (มหาชน) เป็นนิติบุคคลโจทก์ทั้งสิบสามจะได้รับสิทธิประโยชน์สวัสดิการต่าง ๆ ของจำเลยในส่วนที่มิได้ระบุไว้ในสัญญานี้ ยกเว้นเรื่องการจ่ายเงินโบนัสจะเป็นไปตามประกาศของโครงการธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) จนกว่าจะมีการจัดตั้งธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โจทก์จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่าง ๆ ตามระเบียบข้อบังคับของธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) แสดงว่าโจทก์ทั้งสิบสามจะได้รับเงินโบนัสต่อเมื่อมีการจัดตั้งธนาคารเจเนอรัล เอเซีย จำกัด (มหาชน) เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อปรากฏว่าไม่อาจจัดตั้งธนาคารดังกล่าวได้ ประกอบกับระเบียบข้อบังคับของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.5 ไม่ได้กำหนดให้มีการจ่ายเงินโบนัสแก่พนักงาน ดังนั้นโจทก์ทั้งสิบสามจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัส ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 13 นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน

จำเลยอุทธรณ์ประการสุดท้ายว่า พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงินพ.ศ. 2540 เอกสารหมาย ล.9 บัญญัติให้องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินจัดการชำระบัญชี รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยออกประมูลเพื่อแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ทุกรายโจทก์ทั้งสิบสามต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้เฉลี่ยกับเจ้าหนี้ทุกราย แต่โจทก์ทั้งสิบสามไม่ปฏิบัติตามพระราชกำหนดดังกล่าว โดยใช้สิทธิไม่สุจริตยื่นฟ้องคดีนี้จึงไม่ชอบนั้นเห็นว่า แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นข้อนี้อันเป็นเรื่องอำนาจฟ้องไว้ในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางก็ตาม แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 พระราชกำหนดดังกล่าวมีบทบัญญัติห้ามฟ้องไว้แต่เฉพาะในมาตรา 26 โดยห้ามิให้บุคคลใดฟ้องบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องเป็นคดีล้มละลายในระหว่างดำเนินการตามแผนเพื่อการแก้ไขฟื้นฟูที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการองค์การเท่านั้น เมื่อคดีนี้ไม่ใช่คดีล้มละลายโจทก์ทั้งสิบสามจึงไม่ต้องห้ามฟ้องคดี อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 9 และที่ 11ถึงที่ 13 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share