คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5209/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บันทึกข้อตกลงซึ่งได้ทำขึ้นระหว่างบริษัทล.โดยน.กรรมการบริษัทกับอ.กรรมการคนหนึ่งของโจทก์และจำเลยโดยอ.ลงชื่อเพียงผู้เดียวและไม่ได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ตามข้อบังคับแต่บันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าบริษัทล.เป็นหนี้โจทก์จำเลยขอชำระหนี้แทนบริษัทล.ข้อความเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าอ.ทำบันทึกข้อตกลงในนามของโจทก์นั่นเองหาได้กระทำเป็นการส่วนตัวไม่เมื่อโจทก์ยอมรับเอาประโยชน์จากบันทึกข้อตกลงดังกล่าวโดยฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามข้อตกลงนั้นย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำของอ.กรรมการแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา823วรรคสองโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง การแปลงหนี้ใหม่ย่อมทำให้หนี้เดิมระงับสิ้นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา349และ350แต่เมื่อโจทก์ยังติดใจเรียกร้องหนี้จากบริษัทล.อยู่ทั้งข้อตกลงตามบันทึกก็ไม่มีข้อความใดๆที่แสดงให้เห็นว่ามูลหนี้เดิมตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวให้เป็นอันระงับสิ้นไปบันทึกข้อตกลงเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากบริษัทล.มาเป็นจำเลยแต่บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยยอมชำระหนี้แทนบริษัทล.ให้แก่โจทก์และบริษัทล.ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์ตกลงยินยอมด้วยแล้วเช่นนี้กรณีต้องด้วยมาตรา314ดังนั้นเมื่อจำเลยแสดงเจตนาจะชำระหนี้แทนบริษัทล.และบริษัทล.ก็ยินยอมด้วยและโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตกลงยอมรับชำระหนี้ดังกล่าวแล้วจำเลยจึงมีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวต่อโจทก์ บันทึกข้อตกลงระบุว่าจำเลยขอชำระหนี้แทนบริษัทล.และจะผ่อนชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด4เดือนนับแต่วันทำสัญญาเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อตกลงดังกล่าวจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวก่อนปัญหาที่ว่าการบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย โจทก์ฟ้องคดีตามบันทึกข้อตกลงมิได้ฟ้องจำเลยตามเช็คกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องถืออายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีกรรมการ4 คน นายอนุชิต รอดสรรเสริญ หรือนางพันธ์ทิพย์ รอดสรรเสริญลงลายมือชื่อร่วมกับนางจารุทรรศ์ บรรจงวุฒิหรือนางสาววรนุชลิมปนากร และประทับตราสำคัญของบริษัท ผูกพันบริษัทได้ เดิมโจทก์ขายสินค้าให้บริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด หลายครั้งและบริษัทลดามาสก่อสร้าง จำกัด เป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 342,952 บาทเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยซึ่งรับงานช่วงรับเหมาก่อสร้างต่อจากบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด ได้ตกลงยินยอมชำระหนี้ทั้งหมดแทนบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด ให้โจทก์โดยขอผ่อนชำระ 7 งวด งวดละไม่เกิน 50,000 บาท และจะชำระให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน นับแต่วันทำสัญญา โจทก์ จำเลยและบริษัทลาดมาศก่อสร้างจำกัด ได้ทำหลักฐานข้อตกลงดังกล่าวไว้เป็นหนังสือ แต่จำเลยก็ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์เลย โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 365,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 350,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายอนุชิต รอดสรรเสริญกรรมการโจทก์คนเดียวไม่มีอำนาจทำบันทึกข้อตกลงแทนโจทก์ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยรับว่าได้ลงชื่อในเอกสารดังกล่าวจริง แต่มิได้มีเจตนาเป็นการแปลงหนี้ใหม่ โจทก์จำเลยและนายนภดล รักษ์งามกรรมการผู้จัดการบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด มีความประสงค์ที่จะผูกพันและมีเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเพื่อรับสภาพหนี้ตามเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขารามอินทรา ซึ่งบริษัทลดามาศก่อสร้าง จำกัด สั่งจ่ายจำเลยจึงได้ลงลายมือชื่อไว้เพื่อเป็นหลักประกันว่า จำเลยจะส่งวัสดุก่อสร้างให้แก่บริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด เพื่อให้บริษัทดังกล่าวสามารถก่อสร้างหมู่บ้านตามโครงการของบริษัทศรีนครแลนด์ จำกัดตามสัญญาบางส่วนให้เสร็จสิ้น จะได้นำเงินมาชำระหนี้ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวให้แก่โจทก์และจำเลยได้ มีการตกลงด้วยว่าโจทก์จะต้องไปถอนคำร้องทุกข์ที่แจ้งไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขนเกี่ยวกับเช็คข้างต้น และโจทก์จะไม่มายุ่งเกี่ยวกับการดำเนินการก่อสร้างรายนี้ แต่โจทก์ไม่ไปถอนคำร้องทุกข์ กลับนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับกุมนายนภดล รักษ์งานและกรรมการของบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด ที่ลงชื่อไว้ในเช็ค ทำให้บริษัทลาดมาศก่อสร้างจำกัด ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้ โจทก์และจำเลยจึงไม่ได้รับชำระหนี้จากบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด และฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 365,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 350,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีกรรมการ 4 คนนายอนุชิต รอดสรรเสริญหรือนางพันธ์ทิพย์ รอดสรรเสริญลงลายมือชื่อร่วมกับนางจารุทรรศ์ บรรจงวุฒิหรือนางสาววรนุชลิมปนากร พร้อมประทับตราสำคัญของโจทก์ มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ จำเลยประกอบกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้าง ใช้ชื่อทางการค้าว่ารามอินทราเสาเข็ม และจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเลิศวงศ์จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการรับเหมาก่อสร้างด้วย บริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด เป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์แล้วได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาถนนรามอินทราลงวันที่ 28 กันยายน 2533 จำนวนเงิน 128,060 บาท และสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขารามอินทรา ลงวันที่ 2พฤศจิกายน 2533 จำนวนเงิน 312,300 บาท เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์เช็คทั้งสองฉบับธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามแล้วบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด ได้นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ตามเช็คฉบับแรก เป็นเงิน 97,408 บาท คงเหลือหนี้ตามเช็คฉบับแรก 30,652 บาท เมื่อรวมกับหนี้ตามเช็คฉบับหลังบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด เป็นหนี้โจทก์อยู่ 342,952 บาทต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2534 นายอนุชิต รอดสรรเสริญกรรมการคนหนึ่งของโจทก์ นายนภดล รักษ์งามกรรมการคนหนึ่งของบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด และจำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.15 มีข้อความว่า ในนามบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัดโดยนายนภดล รักษ์งานกรรมการผู้จัดการ ได้ค้างชำระค่าเหล็กเส้นบริษัทเอส.เอส.สตีลจำกัด จำนวนเงิน 350,000 บาท บัดนี้ทางร้านรามอินทราเสาเข็มได้รับงานที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่หมู่บ้านศรีนครฯ ต่อจากบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด จึงขอผ่อนชำระหนี้แทนบริษัทฯ โดยแบ่งเป็น 7 งวด งวดละไม่เกิน 50,000 บาททั้งนี้ภายในกำหนด 4 เดือน นับจากวันทำสัญญานี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.15มีเพียงนายอนุชิต รอดสรรเสริญ กรรมการคนหนึ่งของโจทก์ลงลายมือชื่อเพียงคนเดียว ไม่มีกรรมการอื่นลงชื่อร่วมด้วยและไม่ได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของโจทก์ และกรณีเช่นนี้กรรมการของโจทก์จะให้สัตยาบันมิได้ บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.15 ที่นายอนุชิตกรรมการกระทำไปโดยลำพังจึงไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.15 ซึ่งมิได้ทำขึ้นระหว่างบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด โดยนายนภดล รักษ์งามนายอนุชิต รอดสรรเสริญ กรรมการคนหนึ่งของโจทก์และจำเลยโดยนายอนุชิตกรรมการของโจทก์ลงชื่อเพียงผู้เดียวไม่ครบ 2 คนและไม่ได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ตามข้อบังคับของโจทก์ที่ได้จดทะเบียนไว้ก็ตาม แต่ปรากฏว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวก็ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด เป็นหนี้โจทก์ จำเลยขอชำระหนี้แทนบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด ข้อความเช่นนี้แสดงให้เห็นว่านายอนุชิตทำบันทึกข้อตกลงในนามของโจทก์นั่นเองหาได้กระทำเป็นการส่วนตัวไม่ เมื่อโจทก์ยอมรับเอาประโยชน์จากบันทึกข้อตกลงดังกล่าวโดยฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามข้อตกลงนั้นย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำของนายอนุชิตกรรมการแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 วรรคสองโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ที่จำเลยฎีกาว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.15 เป็นเพียงการรับสภาพหนี้ตามเช็คเอกสารหมาย จ.10 และ จ.12 และเป็นการให้จำเลยรับรองค้ำประกันมูลหนี้ตามเช็คดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด มาเป็นของจำเลย เพราะหนี้เดิมคือหนี้ตามเช็คยังไม่ระงับทำนองว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.15นั้น ได้ความตามคำเบิกความของนายอนุชิตกรรมการของโจทก์ว่าโจทก์ยังติดใจดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็คฉบับที่ 2 แก่บริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด แต่ไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งในมูลหนี้ตามเช็คฉบับแรกหากบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด ชำระหนี้ตามเช็คฉบับที่ 2 ให้แก่โจทก์แล้วก็ไม่ติดใจเรียกร้องจากจำเลย ดังนี้เห็นว่า การแปลงหนี้ใหม่ย่อมทำให้หนี้เดิมระงับสิ้นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 และ 350แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ยังติดใจเรียกร้องหนี้ตามเช็คฉบับที่ 2 จากบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด อยู่ ทั้งข้อตกลงตามบันทึกเอกสารหมาย จ.15 ก็ไม่มีข้อความใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่ามูลหนี้เดิมตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวให้เป็นอันระงับสิ้นไปแต่อย่างใด บันทึกข้อตกลงเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัดมาเป็นจำเลยแต่อย่างไรก็ตาม บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีข้อความว่า จำเลยยอมชำระหนี้แทนบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด ให้แก่โจทก์และบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์ได้ตกลงยินยอมด้วยแล้วเช่นนี้ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 314 ที่บัญญัติว่า อันการชำระหนี้นั้น ท่านว่าบุคคลภายนอกจะเป็นผู้ชำระก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่ว่าเปิดช่องให้บุคคลภายนอกชำระหนี้หรือจะขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้ดังนั้นเมื่อจำเลยแสดงเจตนาจะชำระหนี้แทนบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด และบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด ก็ยินยอมด้วยและโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตกลงยอมรับชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงมีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวต่อโจทก์
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้มาแสดง การบอกกล่าวทวงถามของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดนั้นเห็นว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.15 ซึ่งลงวันที่ 27กุมภาพันธ์ 2534 ระบุข้อความไว้ชัดเจนว่าจำเลยขอชำระหนี้แทนบริษัทลดามาศก่อสร้างจำกัด และจะผ่อนชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 4 เดือน นับแต่วันทำสัญญา เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวก่อน ปัญหาที่ว่าการบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาในประการสุดท้ายว่า มูลหนี้เดิมมาจากเรื่องเช็คตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.12 โจทก์ต้องฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2535เกิน 1 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.15 มิได้ฟ้องจำเลยตามเช็คกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องถืออายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164เดิม โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตั้งแต่วันที่28 มิถุนายน 2534 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2535ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน

Share