คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6205/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่2ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน แต่จำเลยที่3กับพวกก็คิดค่าทดแทนให้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตร่วมกันทำเอกสารมีข้อความเป็นเท็จจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157,162(1)(4)ประกอบด้วยมาตรา83ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157อันเป็นบทหนัก ขณะเกิดเหตุจำเลยที่1รับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบและจ่ายเงินทดแทนทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานจากตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวย่อมจะต้องเห็นความสำคัญของงานที่ทำที่มีผู้ประสงค์จะแสวงหาประโยชน์อยู่มากและความสำคัญของเอกสารที่ตนลงชื่อการที่จำเลยที่1อ้างว่ามีงานอื่นที่สำคัญและต้องทำอีกมากไม่มีเวลาออกไปตรวจสอบที่ดินของราษฎรนั้นไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ฟังว่าจำเลยที่1ไม่มีเจตนากระทำความผิดกับจำเลยที่3และจำเลยอื่นจำเลยที่1จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157,162(1)(2)ประกอบด้วยมาตรา83ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157อันเป็นบทหนัก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 162(1)(4), 83, 86, 91
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่ให้การถือว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162(1)(4) ประกอบด้วยมาตรา 83ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบทหนัก จำคุกคนละ1 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 5 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86จำคุกคนละ 1 ปี แต่เห็นว่าทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 4และที่ 5 จำคุกคนละ 8 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1
โจทก์ และ จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 83ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบทหนักให้จำคุก1 ปี 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าทดแทน แต่จำเลยที่ 3 กับพวกก็คิดค่าทดแทนให้ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตร่วมกันทำเอกสารมีข้อความเป็นเท็จทำให้กรมชลประทานได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นความผิดตามฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1รับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบและจ่ายเงินค่าทดแทนทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน จากตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ 1ดังกล่าว ย่อมจะต้องเห็นความสำคัญของงานที่ทำที่มีผู้ประสงค์จะแสวงหาประโยชน์อยู่มาก และความสำคัญของเอกสารที่ตนลงชื่อการที่จำเลยที่ 1 อ้างว่ามีงานอื่นที่สำคัญและต้องทำอีกมากไม่มีเวลาออกไปตรวจสอบที่ดินของราษฎรนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนากระทำความผิดจำเลยที่ 3 และจำเลยอื่น จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามฟ้อง ปัญหาต่อไปที่จำเลยที่ 3ฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 ประกอบกับจำเลยที่ 3 รับราชการมานานไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ประพฤติผิดวินัยหรือเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน กรณีมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 3 และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 แล้วประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ได้เคยกระทำความผิดมาก่อน กรณีมีเหตุสมควรที่จะให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้าไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share