แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่เอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเอกชนด้วยกัน เป็นจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น จำเลยที่ ๓ อันเนื่องมาจากกรณีจำเลยที่ ๑ นำก้อนอิฐมาก่อเป็นแนวยาวบนถนนสาธารณะ ส่วนจำเลยที่ ๒ นำโต๊ะมาชิดติดกำแพงรั้วของโจทก์และชำระล้างถ้วยจานใส่อาหารและทิ้งเศษอาหารลงบนถนนสาธารณะ ทำให้รั้วกำแพงบ้านโจทก์เสียหาย พื้นถนนสกปรกและมีกลิ่นเน่าเหม็นของเศษอาหาร โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รวมถึงจำเลยที่ ๓ ซึ่งมีหน้าที่บำรุงรักษาทางน้ำและทางบก รักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดิน และที่สาธารณะ รวมทั้งการจำกัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล ดำเนินการทำให้สภาพที่ดินดังกล่าวอยู่ในสภาพเรียบร้อยและสะอาด แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งของออกจากแนวรั้วกำแพงบ้านโจทก์และปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่เอกชนฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดในมูลละเมิดจากเอกชนด้วยกันที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แม้โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย แต่โจทก์ก็ได้มีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งของออกจากแนวรั้วกำแพงบ้านโจทก์และปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย อันเป็นกรณีที่โจทก์มุ่งประสงค์ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากมูลละเมิดเดียวกัน ซึ่งการที่จำเลยที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติในข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ว่ามีการกระทำละเมิดหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีที่มูลความแห่งคดีเกี่ยวพันกันกับจำเลยที่ ๓ ตามคำขอของโจทก์เป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๒๐/๒๕๕๗
วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดหนองคาย
ระหว่าง
ศาลปกครองอุดรธานี
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดหนองคายโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ นางสาวกวินทิพย์ โสภิณธุ์ โจทก์ ยื่นฟ้องนางกัน หารินไสล ที่ ๑ นางสาวละมัย รัตนชัย ที่ ๒ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านฝาง ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดหนองคาย เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๔๖/๒๕๕๖ ความว่า โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ กรณีจำเลยที่ ๑ นำก้อนอิฐมาก่อเป็นแนวยาวบนถนนสาธารณะที่ติดรั้วกำแพงบ้านของโจทก์และนำดินมาถมตามแนวรั้วแล้วปลูกพืชผักสวนครัว ส่วนจำเลยที่ ๒ นำโต๊ะมาชิดติดกำแพงรั้วของโจทก์และชำระล้างถ้วยจานใส่อาหารและทิ้งเศษอาหารลงบนถนนสาธารณะซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของจำเลยที่ ๓ ทำให้รั้วกำแพงบ้านของโจทก์เกิดรอยร้าวได้รับความเสียหาย และทำให้รั้วกำแพงบ้านและพื้นถนนสกปรกและมีกลิ่นเน่าเหม็นของเศษอาหาร โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ ๑ รื้อถอนแนวอิฐและพืชผักสวนครัวและให้จำเลยที่ ๒ ขนย้ายโต๊ะและสิ่งของออกจากรั้วกำแพงบ้านโจทก์และทำให้ที่ดินบริเวณดังกล่าวอยู่ในสภาพเรียบร้อยแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกเฉย โจทก์จึงแจ้งจำเลยที่ ๓ ซึ่งมีหน้าที่บำรุงรักษาทางน้ำและทางบก รักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดิน และที่สาธารณะ รวมทั้งการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล ให้ดำเนินการทำให้สภาพที่ดินดังกล่าวอยู่ในสภาพเรียบร้อยและสะอาด แต่จำเลยที่ ๓ เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งของออกจากแนวรั้วกำแพงบ้านโจทก์และปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินพื้นที่ติดต่อกับรั้วกำแพงบ้านของโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ ได้มอบที่ดินส่วนหนึ่งซึ่งเป็นเขตติดต่อบริเวณรั้วบ้านของโจทก์ให้แก่ชุมชนใช้เป็นทางเดินเข้าออกของชาวบ้าน ซึ่งต่อมาจำเลยที่ ๓ ได้ปรับปรุงทางเดินดังกล่าวเป็นถนนคอนกรีต โดยเว้นพื้นที่ดินบริเวณที่ติดกับรั้วของโจทก์ไว้ประมาณ ๖๐-๗๐ เซนติเมตร จำเลยที่ ๑ เห็นเป็นที่ว่างและเป็นที่ดินของจำเลยที่ ๑ จึงได้นำก้อนอิฐมาวางกั้นดินระหว่างถนนคอนกรีตกับรั้วกำแพงบ้านของโจทก์ซึ่งห่างจากรั้วกำแพงบ้างโจทก์ประมาณ ๖๐-๗๐ เซนติเมตร และนำดินมาใส่แล้วปลูกพืชผักสวนครัว โดยไม่ได้นำก้อนอิฐมาก่อเป็นแนวยาวติดรั้วกำแพงบ้านของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่สามารถที่จะมีผลทำให้รั้วกำแพงบ้านของโจทก์เกิดรอยร้าวได้ พื้นที่บริเวณดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ตั้งโต๊ะในที่ดินของจำเลยที่ ๑ และได้นำแผ่นสังกะสีมาบังกั้นรั้วกำแพงบ้านโจทก์เพื่อป้องกันไม่ให้รั้วกำแพงบ้านของโจทก์ได้รับความเสียหาย และเมื่อจำเลยที่ ๒ ล้างถ้วยชามก็จะเทน้ำลงท่อระบายน้ำและจะทิ้งเศษอาหารในถังขยะที่ทางราชการจัดไว้ โดยไม่ได้ทำสกปรกเลอะเทอะตามที่โจทก์กล่าวอ้าง จึงไม่ได้ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะไม่มีส่วนร่วมในการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ และได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยที่ ๓ เป็นหน่วยงานทางปกครอง คดีนี้มีมูลพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดหนองคายพิจารณาแล้วเห็นว่า ประเด็นแห่งคดีนี้เป็นกรณีที่เอกชนฟ้องละเมิดจากเอกชนด้วยกัน การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองเพียงเพราะเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลเท่านั้น เหตุละเมิดตามคำฟ้องของโจทก์จึงมิได้เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ ๓ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎหรือคำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น และไม่ได้เกิดจากการละเลยตามหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๓๗/๒๕๕๔
ศาลปกครองอุดรธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๓ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีบำรุงรักษา ทางน้ำ และทางบก กับรักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดินและที่สาธารณะ ระบบกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลตามมาตรา ๖๗ วรรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ข้อเท็จจริงตามฟ้องและคำขอท้ายฟ้องคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สำหรับคดีในส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนนั้นถึงแม้จะมีสาเหตุเริ่มมาจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แต่โจทก์ก็กล่าวอ้างไว้อย่างแจ้งชัดในคำฟ้องด้วยว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการกระทำบนถนนสาธารณะซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของจำเลยที่ ๓ และการร้องขอให้แก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งของออกจากแนวรั้วกำแพงบ้านโจทก์ และปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นคำขอที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ และอยู่ในอำนาจกำหนดคำบังคับของศาลปกครองที่จะให้การแก้ไขเยียวยาได้ เมื่อข้อพิพาทในส่วนจำเลยที่ ๓ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ข้อพิพาทในส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงควรได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์อ้างว่าได้รับความเสียหายกรณีจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ นำก้อนอิฐมาก่อเป็นแนวยาวบนถนนสาธารณะที่ติดรั้วกำแพงบ้านของโจทก์และนำดินมาถมตามแนวรั้วแล้วปลูกพืชผักสวนครัว ทำให้กำแพงรั้วบ้านโจทก์เกิดรอยร้าว ส่วนจำเลยที่ ๒ นำโต๊ะมาชิดติดกำแพงรั้วของโจทก์และชำระล้างถ้วยจานใส่อาหารและทิ้งเศษอาหารลงบนถนนสาธารณะ ทำให้รั้วกำแพงบ้านและพื้นถนนสกปรกและมีกลิ่นเน่าเหม็นของเศษอาหาร โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้ที่ดินบริเวณดังกล่าวอยู่ในสภาพเรียบร้อย แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกเฉย โจทก์จึงแจ้งจำเลยที่ ๓ ซึ่งมีหน้าที่บำรุงรักษาทางน้ำและทางบก รักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดิน และที่สาธารณะ รวมทั้งการจำกัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล ดำเนินการทำให้สภาพที่ดินดังกล่าวอยู่ในสภาพเรียบร้อยและสะอาด แต่จำเลยที่ ๓ เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งของออกจากแนวรั้วกำแพงบ้านโจทก์และปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ส่วนจำเลยทั้งสามให้การในทำนองเดียวกันว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เห็นว่า เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชน กระทำละเมิดทำให้กำแพงรั้วบ้านโจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นกรณีที่เอกชนฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดในมูลละเมิดจากเอกชนด้วยกันที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แม้โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าที่ในการบำรุงรักษาทางน้ำและทางบก รักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดิน และที่สาธารณะ รวมทั้งการจำกัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล กรณีไม่ดำเนินการทำให้สภาพที่ดินดังกล่าวอยู่ในสภาพเรียบร้อยและสะอาดตามที่โจทก์ร้องขอ แต่โจทก์ก็ได้มีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งของออกจากแนวรั้วกำแพงบ้านโจทก์และปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย อันเป็นกรณีที่โจทก์มุ่งประสงค์ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากมูลละเมิดเดียวกัน ซึ่งการที่จำเลยที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติในข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ว่ามีการกระทำละเมิดหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีที่มูลความแห่งคดีเกี่ยวพันกันกับจำเลยที่ ๓ ตามคำขอของโจทก์เป็นสำคัญ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวกวินทิพย์ โสภิณธุ์ โจทก์ นางกัน หารินไสล ที่ ๑ นางสาวละมัย รัตนชัย ที่ ๒ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านฝาง ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ