คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้เสียกับจำเลยครั้งแรกเมื่อจำเลยรับโจทก์ไปทำปลาที่บ้านจำเลยต่อมาก็ได้เสียกันในทุ่งนาประมาณ 10 กว่าครั้ง และไม่เคยอยู่ร่วมเรือนเดียวกันฉันสามีภริยาเลย นอกจากจำเลยเขียนจดหมายรัก ส่งรูปถ่ายของจำเลย และบัตรส่งความสุขให้โจทก์บ้างเท่านั้น เมื่อโจทก์ตั้งครรภ์จำเลยเพียงแต่ส่งเสียเงินทองให้และรับว่าจะไปจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร แต่พอโจทก์คลอดบุตรจำเลยกลับไม่รับว่าเป็นบุตรของจำเลย กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งโจทก์อาจตั้งครรภ์ได้ และถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์ที่รู้กันอยู่ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กหญิงเน้ยเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะขอให้รับเด็กเป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 อันเป็นบทบัญญัติซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะฟ้องคดี
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1/2520

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกันชื่อเด็กหญิงเน้ย เมื่อตอนโจทก์ตั้งครรภ์ จำเลยส่งเสียเงินทองให้โจทก์ ทั้งรับรองว่าจะรับเลี้ยงบุตรและจดทะเบียนรับรองบุตรตามกฎหมาย แต่เมื่อคลอดเด็กหญิงเน้ยแล้วจำเลยกลับไม่ยอมรับ ขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กหญิงเน้ยเป็นบุตรจำเลย ให้จำเลยจดทะเบียนรับรองบุตรและจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงเน้ยเดือนละ ๕๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าเด็กหญิงเน้ยอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์
จำเลยให้การว่า ไม่เคยได้เสียกับโจทก์ และไม่ส่งเสียเงินทองให้โจทก์ในระหว่างโจทก์ตั้งครรภ์เด็กหญิงเน้ยมิใช่บุตรจำเลย และจำเลยไม่เคยรับรองว่าเป็นบุตรฐานะจำเลยยากจน ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่โจทก์เรียกร้องมาสูงเกินควร และตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่าเด็กหญิงเน้ยเป็นบุตรจำเลยจริง พิพากษาว่าเด็กหญิงเน้ยเป็นบุตรจำเลย ให้จำเลยจดทะเบียนรับรองบุตร หากไม่ไปจดให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงเน้ยเดือนละ ๒๕๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าเด็กหญิงเน้ยอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยลักลอบได้เสียกันเองมิได้อยู่กินกันอย่างเปิดเผย ไม่มีเอกสารแสดงชัดว่าเด็กเป็นบุตรจำเลย โจทก์ตั้งครรภ์แล้ว ๗ เดือน จึงได้พูดจาจะให้จำเลยขอขมาและรับรองบุตร จำเลยไม่ตกลง จึงมิใช่พฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไป กรณีไม่เข้าเกณฑ์ขอให้รับเด็กเป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๙ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยเคยได้เสียกันจนเกิดบุตร คือเด็กหญิงเน้ยจริง สำหรับปัญหาว่าโจทก์จะฟ้องขอให้รับเด็กหญิงเน้ยเป็นบุตรของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๙ อันเป็นบทบัญญัติซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะฟ้องคดีหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้เสียกับจำเลยครั้งแรกเมื่อจำเลยรับโจทก์ไปทำปลาที่บ้านจำเลย ต่อมาโจทก์จำเลยได้เสียกันในทุ่งนาประมาณ ๑๐ กว่าครั้ง และไม่เคยอยู่ร่วมเรือนเดียวกันฉันสามีภริยาเลย นอกจากจำเลยเขียนจดหมายรัก ส่งรูปถ่ายของจำเลย และบัตรส่งความสุขให้โจทก์บ้างเท่านั้น เมื่อโจทก์ตั้งครรภ์แล้ว จำเลยเพียงแต่ส่งเสียเงินทองให้ และรับว่าเมื่อคลอดแล้วจะไปจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร แต่พอโจทก์คลอดเด็กหญิงเน้ยแล้ว จำเลยกลับไม่รับว่าเป็นบุตรของจำเลย โจทก์จึงให้บิดาของโจทก์ไปแจ้งเกิดระบุว่าจำเลยเป็นบิดาของเด็กหญิงเน้ย กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งโจทก์อาจตั้งครรภ์ได้ และถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์ที่รู้กันอยู่ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กหญิงเน้ยเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะขอให้รับเด็กเป็นบุตรตามมาตรา ๑๕๒๙
พิพากษายืน

Share