คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นพลตำรวจสมัครประจำกองตำรวจภูธร ลามากิจธุระ ไม่แต่งเครื่องแบบ แต่มีเข็มขัดตำรวจคาดอยู่ จำเลยที่ 1 บอกผู้เสียหายซึ่งจับปลาในลำน้ำชีอันเป็นที่สาธารณะในฤดูปลามีไข่ อันเป็นความผิดต่อกฎหมายว่าถ้าไม่ให้จับ ก็ให้ให้ปลาแก่จำเลยที่ 1 เสีย ผู้เสียหายกลัว จึงยอมให้ปลาแก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้แม้ในทางปฏิบัติกรมตำรวจได้วางระเบียบไว้ว่า พลตำรวจภูธรประจำกองตำรวจภูธรจะสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตจังหวัดนั้น จะต้องมีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ชั้นผู้บังคับกองขึ้นไปก็ดี แต่เมื่อมีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยไว้ว่า พลตำรวจภูธรไปปรากฏตัว ณ ที่ใดแม้จะเป็นที่นอกเขตอำนาจของพลตำรวจผู้นั้น ถ้าปรากฏว่ามีผู้กระทำผิดซึ่งหน้าพลตำรวจภูธรผู้นั้นก็มีอำนาจจับได้ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานผู้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจให้ผู้เสียหายมอบปลาให้เป็นประโยชน์แก่ตน
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูประชาบาลมายังที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1และในขณะที่จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายว่า ถ้าจะไม่ให้จับ ก็ให้ให้ปลาเสียนั้นจำเลยที่ 2 ก็ได้พูดกับผู้เสียหายต่อเนื่องกันไปว่าทำผิดกฎหมายแล้ว เอาปลาให้ตำรวจเสีย จะได้ไม่ถูกจับและในที่สุดเมื่อผู้เสียหายยอมให้ปลาแล้ว จำเลยที่ 1 หิ้วถังปลาไปจำเลยที่ 2 ก็เดินตามไปพร้อมๆ กันด้วยพฤติการณ์เช่นนี้เข้าลักษณะที่ว่าเป็นการช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดในขณะกระทำความผิดอันเป็นลักษณะของผู้สนับสนุนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิดแล้ว

ย่อยาว

ข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2501 เวลากลางวันพลตำรวจจันดา จำเลยที่ 1 ซึ่งประจำกองตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคามลามากิจธุระไม่แต่งเครื่องแบบ แต่มีเข็มขัดตำรวจคาดอยู่ มาถึงที่เกิดเหตุกับนางศรีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูประชาบาลและนายใหญ่พบนายบุญศรีนายชม ล้อมเผือกในลำน้ำชี ใช้สวิงช้อนจับปลาซึ่งต้องห้ามมิให้จับปลาในฤดูมีไข่จำเลยที่ 1 ถามซื้อปลา นายบุญศรีบอกให้นั่งคอยก่อน ต่อมาเมื่อจับปลาเสร็จก็เอาข้องใส่ปลาขึ้นมาเทปลาใส่ถังสังกะสีให้ดู มีปลาประมาณ 8 กิโลกรัม พลตำรวจจันดาจำเลยที่ 1 ถามราคา นายบุญศรีบอกขาย 30 บาท พลตำรวจจันดาว่า30 บาทอย่างไร ทำผิดกฎหมายจับปลาต้องห้ามและว่าไม่จับก็ให้ปลาเสียนายศรีจำเลยที่ 2 ก็พูดว่า ทำผิดกฎหมายเอาปลาให้ตำรวจเสียจะได้ไม่ถูกจับนายบุญศรีกลัว จึงยอมให้ปลา พลตำรวจจันดาก็หิ้วถังปลาไปนายศรีจำเลยที่ 2 และนายใหญ่ตามไปด้วย

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสองว่า พลตำรวจจันดาจำเลยที่ 1ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157 และนายศรีจำเลยที่ 2ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157 ประกอบด้วย มาตรา 86ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ซึ่งเป็นบทหนัก ตามมาตรา 90 ให้จำคุก คนละ 1 ปี สำหรับนายศรีจำเลยที่ 2 กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 (ผู้สนับสนุนการกระทำความผิด) ต้องระวางโทษ 2 ใน 3 ส่วน ของโทษที่กำหนดไว้ เหลือเป็นโทษจำคุกนายศรีจำเลย 8 เดือน

คดีนี้จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 มิใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมาย และว่าถ้อยคำและอากัปกิริยาของจำเลยที่ 2 ในขณะเกิดเหตุไม่เป็นความผิดฐานสมรู้

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ปรากฏว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้แสดงตัวว่าเป็นตำรวจโดยทั้งการแต่งกายซึ่งมีเข็มขัดตำรวจคาดอยู่และทั้งวาจาที่พูดกับนายบุญศรีผู้เสียหายนอกจากนี้จำเลยที่ 2 ก็ยังได้พูดสนับสนุนให้เห็นชัดยิ่งขึ้นอีกว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีอำนาจจับกุมผู้กระทำความผิดส่วนอำนาจหน้าที่ของพลตำรวจจันดาจำเลยนั้น ปรากฏจากคำเบิกความของนายพันตำรวจโทมนู เศวตวรรณ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคามซึ่งศาลล่างได้ฟังมาว่า พลตำรวจภูธรประจำกองตำรวจภูธรจังหวัดมีอำนาจสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตจังหวัด แม้ในทางปฏิบัติกรมตำรวจได้วางระเบียบไว้ว่า จะต้องมีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ชั้นผู้บังคับกองขึ้นไป พลตำรวจจึงจะออกไปสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดได้ก็ดี แต่ก็ยังมีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยไว้ว่า พลตำรวจภูธรไปปรากฏตัว ณ ที่ใด แม้จะเป็นที่นอกเขตอำนาจของพลตำรวจผู้นั้นถ้าปรากฏว่ามีผู้กระทำผิดซึ่งหน้าพลตำรวจภูธรผู้นั้น ก็มีอำนาจจับกุมได้ ศาลฎีกาจึงเห็นการกระทำของพลตำรวจจันดาจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานผู้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจให้นายบุญศรีกับพวกมอบปลาให้เป็นประโยชน์แก่ตนและพรรคพวกแล้ว

ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 นั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มายังที่เกิดเหตุพร้อมกับพลตำรวจจันดาจำเลยที่ 1 และในขณะที่จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายว่า ถ้าจะไม่ให้จับ ก็ให้ให้ปลาเสียนั้น นายศรีจำเลยที่ 2 ก็ได้พูดกับผู้เสียหายต่อเนื่องกันไปว่า ทำผิดกฎหมายแล้วเอาปลาให้ตำรวจเสียจะได้ไม่ถูกจับและในที่สุดเมื่อผู้เสียหายยอมให้ปลาแล้วจำเลยที่ 1 หิ้วถังปลาไป จำเลยที่ 2 ก็เดินตามไปพร้อม ๆ กันด้วย พฤติการณ์เช่นนี้เข้าลักษณะที่ว่า เป็นการช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดในขณะกระทำความผิดอันเป็นลักษณะของผู้สนับสนุนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า เป็นความผิดแล้ว

Share