แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 4 รับว่าทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 บริษัท ย. และ บริษัท อ. ไว้แก่โจทก์รวม 5 ฉบับ และจำเลยที่ 4 จะต้องรับผิดในวงเงินตามสัญญาค้ำประกันนั้นเป็นเงินรวม 3,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 4 จำนองที่ดินไว้ต่อโจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 4 เอง รวมถึงที่จำเลยที่ 4 ได้ค้ำประกันหนี้สินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับบริษัทในเครือดังกล่าวที่มีอยู่ต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนองในวงเงิน 3,000,000 บาท ดังนั้น เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้ และจำเลยที่ 4 ได้ขอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามจำนวนเงินในสัญญาค้ำประกันรวม 5 ฉบับ เป็นเงิน 3,000,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าจำนวนเงินดังกล่าวไม่เพียงพอต่อความรับผิดของจำเลยที่ 4 ตามสัญญาค้ำประกันทั้งหมด และโจทก์มิได้นำสืบให้ชัดว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ 4 ชำระยังไม่เพียงพอต่อความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพราะยังมีดอกเบี้ยหรือค่าอุปกรณ์อื่น ๆ อีก จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 4 ชำระหนี้ครบถ้วนตามความรับผิดในสัญญาค้ำประกันแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 701 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 17,205,812.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 11,704,297.27 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ และทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 4 ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 16,704,056.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 11,704,297.27 บาท ให้จำเลยที่ 4 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 103622, 103623, 103639 และ 103640 ตำบลหนองแขม อำเภอหนองแขม (ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้านำออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์และจำเลยที่ 4 อุทธรณ์ โดยจำเลยที่ 4 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ชำระเงินดอกเบี้ยจำนวน 502,101.73 บาท แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 4 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือเรื่องขอชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันและไถ่ถอนจำนอง ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 และ 20 พฤศจิกายน 2540 จำเลยที่ 4 รับว่าทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 บริษัทยีแอล จำกัด และบริษัทเยแอล อินเตอร์แวร์ จำกัด ไว้แก่โจทก์รวม 5 ฉบับ และจำเลยที่ 4 ต้องรับผิดในวงเงินตามสัญญาค้ำประกันทั้ง 5 ฉบับ เป็นเงินรวม 3,000,000 บาท นอกจากนี้เมื่อพิจารณาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันแล้ว ข้อ 1 มีใจความว่า จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้สินต่าง ๆ ทุกชนิดรายละเอียดปรากฏตามสัญญาจำนองเป็นประกันต่อท้าย ข้อ 4 มีใจความว่า ส่วนเงื่อนไขและข้อตกลงอื่นๆ ให้เป็นไปตามสัญญาจำนองเป็นประกันต่อท้าย และให้ถือว่าสัญญาจำนองเป็นประกันต่อท้ายเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจำนองด้วย ซึ่งสัญญาจำนองเป็นประกันต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกัน มีใจความสรุปว่า จำนองเป็นประกันหนี้สินและความรับผิดทุกอย่างทุกประการบรรดาที่ผู้จำนองเป็นลูกหนี้ต่อธนาคารโดยตนเอง ประกันหนี้สินและความรับผิดซึ่งผู้จำนองในฐานะผู้ค้ำประกันได้ค้ำประกันหนี้สินหรือความรับผิดของบุคคล ห้างร้าน ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล บริษัทจำกัดฯ (ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่า “ลูกหนี้”) บรรดาที่มีอยู่ต่อธนาคาร หนี้สินและความรับผิดดังกล่าวรวมถึงหนี้สินและความรับผิดบรรดาที่มีอยู่แล้วก่อนวันทำสัญญานี้ก็ดี ในขณะทำสัญญานี้ก็ดี และทั้งที่จะเกิดมีขึ้นหลังจากวันทำสัญญานี้ก็ดี ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 4 จำนองที่ดินไว้ต่อโจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 4 เอง รวมถึงที่จำเลยที่ 4 ได้ค้ำประกันหนี้สินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับบริษัทในเครือดังกล่าวที่มีอยู่ต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 4 ทั้งต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนองในวงเงินเดียวกันคือ 3,000,000 บาท ดังนั้น เมื่อโจทก์บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้ และจำเลยที่ 4 ได้ขอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามจำนวนเงินในหนังสือสัญญาค้ำประกัน แผ่นที่ 3, 5 และ 7 รวม 5 ฉบับ เป็นเงิน 3,000,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าจำนวนเงินดังกล่าวไม่เพียงพอต่อความรับผิดของจำเลยที่ 4 ตามสัญญาค้ำประกันทั้งหมดแต่อย่างใด ทั้งนายอนันต์ พนักงานโจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ 4 เพียงว่า เหตุที่โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยที่ 4 จดทะเบียนไถ่ถอนและไม่อาจแยกจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันบริษัทอื่น ๆ ออกจากจำเลยที่ 1 ด้วยได้ ซึ่งเป็นการเบิกความลอย ๆ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ชัดว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ 4 ยังไม่เพียงพอต่อความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 4 หนี้ครบถ้วนตามความรับผิดในสัญญาค้ำประกันแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 701 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 แต่ไม่ได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 ในศาลชั้นต้นให้ชัดเจน ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 ในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ