คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10314/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีแพ่งอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ แต่ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินทับเอาที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้เพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 พร้อมบริวารรื้อถอนขนย้ายทรัพย์ออกไป และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จนกว่าจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพเดิม จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินในที่ดินของตน มิได้ออกทับที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้องขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ไป ในคดีแพ่งดังกล่าวยังโต้เถียงกันถึงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ย่อมไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ในอันที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามความหมายของมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่จะฟ้องจำเลยทั้งสาม ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูลความผิดตาม ป.อ. มาตรา 350

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2541 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันขอรวมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ก.) เลขที่ 1371 และ 1644 ตำบลบ้านค้อ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่รวม 70 ไร่ 37 ตารางวา เข้าด้วยกันต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2541 เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรวมที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวโดยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3ก.) เลขที่ 1371 เนื้อที่ 89 ไร่ 2 งาน 42 ตารางวา โดยมีเนื้อที่เพิ่มขึ้น 19 ไร่ งาน 5 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อมาวันที่ 13 กรกฎาคม 2542 จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 154010 ตำบลแดงใหญ่ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 89 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา ซึ่งเป็นการออกโฉนดทับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1635 ตำบลบ้านค้อ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ของโจทก์ด้านทิศใต้บางส่วนเป็นเนื้อที่ดินพิพาทจำนวน 4 ไร่ 6 ตารางวา โจทก์ทราบเรื่องจึงคัดค้านการออกโฉนดที่ดินดังกล่าว และในเดือนมีนาคม 2544 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าครอบครองที่ดินพิพาท ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2545 โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลจังหวัดขอนแก่น เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 277/2545 ขอให้เพิกถอกการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3ก.) เลขที่ 1371 ตำบลบ้านค้อ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ฉบับลงวันที่ 20 ตุลาคม 2541 และโฉนดที่ดินเลขที่ 154010 ตำบลแดงใหญ่ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ให้ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 พร้อมบริวารออกไปและรื้อถอนขนย้ายทรัพย์ออกไปจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพเดิม วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2545 เจ้าหน้าที่ศาลนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยวิธีปิดหมาย ต่อมาวันที่ 7 มีนาคม 2545 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามโดยทุจริตเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดตามคำฟ้องในคดีแพ่งดังกล่าว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 154010 ออกเป็น 5 แปลงโดยหนึ่งในห้าแปลงนั้นคือที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 166368 ซึ่งรวมที่ดินพิพาทในคดีแพ่งดังกล่าวอยู่ด้วยแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หาทั้งนี้เพื่อให้ที่ดินพิพาทพ้นจากการบังคับในคดีแพ่งดังกล่าว ทำให้โจทก์เสียหาย อันเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานโกงเจ้าหนี้ นอกจากนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในคดีแพ่งดังกล่าวว่า ที่ดินมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นเพราะออกทับที่ดินอีกแปลงของจำเลยที่ 2 นั้น ก็เป็นความเท็จ โจทก์ทราบการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2546 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83, 91
ระหว่างไต่สวนมูลฟ้องศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงมีคำสั่งงดไต่ส่วนมูลฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 277/2545 ของศาลจังหวัดขอนแก่น อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเนื้อที่ 4 ไร่ 6 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ แต่ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินทับเอาที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงขอให้เพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 พร้อมบริวารรื้อถอนขนย้ายทรัพย์ออกไปจากที่ดินพิพาท และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จนกว่าจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพเดิม ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินในที่ดินของตน โดยมิได้ออกทับที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ซึ่งขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดขอนแก่น จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ไป ดังนี้ เห็นว่า ในคดีแพ่งดังกล่าวโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังโต้เถียงกันถึงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โดยตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จึงยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในอันที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามความหมายของมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่จะฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูลความผิดตามประมวลฎหมายอาญา มาตรา 350 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share