แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ในการจดทะเบียนจำนองตามสัญญาจำนองโจทก์ได้ให้เงินจำนวน 920,000 บาท แก่จำเลย สัญญาจำนองจึงเป็นเพียงการทำประกันจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ตามสัญญาจำนองครั้งแรกซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ มาตรา 3 (ก) ข้อกำหนดเรียกดอกเบี้ยดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะ จำเลยหาต้องรับผิดตามสัญญาจำนองต่อโจทก์ไม่
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,155,293 บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 920,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองเฉพาะส่วนของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า จำเลยนำที่ดินแปลงพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเฉพาะส่วนของตนไว้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 1,534,000 บาท โจทก์ที่ 1 คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน และคิดดอกเบี้ยทบต้นทุก 6 เดือน ต่อมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 โจทก์ทั้งสองบังคับให้จำเลยจดทะเบียนจำนองอีกครั้งโดยนำดอกเบี้ย 6 เดือนแรกเป็นเงิน 276,120 บาท ดอกเบี้ย 6 เดือนที่สองเป็นเงิน 325,818 บาท และดอกเบี้ย 5 เดือนสุดท้ายเป็นเงิน 320,390 บาท รวมเป็นเงิน 922,328 บาท มาจดทะเบียนจำนองเป็นเงิน 920,000 บาท ตามฟ้อง สัญญาจำนองดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,155,293 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินจำนอง 920,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 8424 ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เฉพาะส่วนของจำเลย นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองจนครบ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่า เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2539 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 8424 ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เฉพาะส่วนของตนแก่โจทก์ที่ 1 ในวงเงิน 1,534,000 บาท ต่อมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองอีกในวงเงิน 920,000 บาท คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยจะต้องับผิดตามสัญญาจำนองเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ทั้งสองเป็นพยานเบิกความว่า ในวันจดทะเบียนจำนอง จำเลยได้รับเงินจำนวน 920,000 บาท ไปจากโจทก์ทั้งสองแล้ว จำเลยมีตัวจำเลย นายอิศรา หวัดี และนางสนาม หวังดี เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยได้รับเงินตามสัญญาจำนองฉบับแรกเท่านั้น แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน และคิดดอกเบี้ยทบต้นทุก 6 เดือน จำเลยมิได้ชำระดอกเบี้ย โจทก์ทั้งสองจึงคิดดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าวแล้วให้จำเลยจดทะเบียนจำนองครั้งที่ 2 ตามจำนวนดอกเบี้ยโดยปัดเศษทิ้ง ทั้งนี้เพื่อโจทก์ทั้งสองยอมผ่อนเวลาชำระหนี้จำนองให้ จำเลยจึงยอมทำ โดยมิได้รับเงินในการจดทะเบียนจำนองครั้งที่ 2 เห็นว่า โจทก์ที่ 1 ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ในการจดทะเบียนจำนองครั้งที่ 2 โจทก์ที่ 2 เบิกเงินจากธนาคารมาให้จำเลย ส่วนโจทก์ที่ 2 ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า โจทก์ที่ 2 มิได้ถอนเงินจากธนาคาร แต่เป็นเงินสดที่โจทก์ที่ 2 ใช้ในการหมุนเวียนในธุรกิจโรงสี จึงน่าสงสัยว่าโจทก์ทั้งสองได้ให้เงินจำนวน 920,000 บาท ในการจำนองครั้งที่ 2 แก่จำเลยหรือไม่ ทั้งเมื่อพิจารณาดูจำนวนเงินโดยคำนวณอัตราดอกเบี้ยร้ยอละ 3 ต่อเดือน จากต้นเงิน 1,534,000 บาท ทุก 6 เดือนคิดดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันทำสัญญาจำนองครั้งแรกถึงวันทำสัญญาจำนองครั้งที่ 2 โดยปัดเศษทิ้ง จะได้จำนวนเงินเท่ากับ 920,000 บาท ประกอบกับจำเลยกู้ยืมเงินตามสัญญาจำนองครั้งแรกเป็นจำนวนเงิน 1,534,000 บาท แต่จำเลยยังมิได้ชำระทั้งตนเงินและดอกเบี้ย โจทก์ที่ 1 กลับไม่ฟ้องเรียกต้นเงินและดอกเบี้ย แต่โจทก์กลับฟ้องเรียกตามจำนวนเงินที่จดทะเบียนจำนองครั้งที่ 2 ทำให้สอดรับกับข้อนำสืบของจำเลยว่าเป็นการเรียกเอาเฉพาะดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน และดอกเบี้ยทบต้นทุก 6 เดือน พยานหลักฐานของโจทก์มีพิรุธขาดเหตุผลไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือ ส่วนพยานจำเลยมีเหตุผลน่ารับฟัง จึงไม่น่าเชื่อว่าในการจดทะเบียนจำนองตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ได้ให้เงินจำนวน 920,000 บาท แก่จำเลย ดังนั้น ตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.2 จึงเป็นเพียงการทำประกันจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ตามสัญญาจำนองครั้งแรกซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 (ก) ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาจำนองดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง