คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8342/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.อ. มาตรา 253 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า คำขอของผู้เสียหายขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนมิให้เรียกค่าธรรมเนียม เว้นแต่ในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้เสียหายเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนสูงเกินสมควร หรือดำเนินคดีโดยไม่สุจริต ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้เสียหายชำระค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่เฉพาะบางส่วนภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ ที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าใช้จ่ายในการส่งคำคู่ความชั้นฎีกาจากโจทก์ร่วมทั้งสอง ซึ่งยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 297 และริบของกลาง
จำเลยให้การว่า ใช้อาวุธมีดของกลางฟันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองจริง แต่มิได้มีเจตนาฆ่า
ระหว่างพิจารณา นายเมธี ผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวกิติยา ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยเรียกว่าโจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
โจทก์ร่วมที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลที่ชำระไปและต่อไปในอนาคตจำนวน 500,000 บาท ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้ เป็นเงินจำนวน 39,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินจำนวน 400,000 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 939,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ร่วมที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลที่ชำระไปและต่อไปในอนาคตจำนวน 500,000 บาท ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้ เป็นเงินจำนวน 105,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินจำนวน 500,000 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 1,105,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (4) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมสองกระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี เป็นจำคุก 6 ปี คำรับและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี และริบมีดของกลาง กับให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงินจำนวน 359,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงินจำนวน 329,376 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ดอกเบี้ยให้คิดนับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะคดีในส่วนแพ่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยได้นำเงินจำนวน 300,000 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท และโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน 100,000 บาท ซึ่งโจทก์ร่วมทั้งสองได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว จึงต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวไปหักออกจากจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ร่วมทั้งสองด้วย และตามคำร้องของโจทก์ร่วมทั้งสองที่ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีนี้ มีบทบัญญัติกฎหมายมิให้เรียกค่าธรรมเนียม เว้นแต่ในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้เสียหายเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนสูงเกินสมควรหรือดำเนินคดีโดยไม่สุจริต ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้เสียหายชำระค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่เฉพาะบางส่วนภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 253 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าใช้จ่ายในการส่งคำคู่ความชั้นฎีกาจากโจทก์ร่วมทั้งสอง จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 159,000 บาท และโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน 229,376 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวน นับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ศาลชั้นต้นคืนค่าใช้จ่ายในการส่งคำคู่ความชั้นฎีกาให้โจทก์ร่วมทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share