แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานรับของโจรตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคแรกนั้น ต้องได้ความว่าผู้กระทำได้รับซื้อทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดลักษณะหนึ่งในแปดลักษณะ ซึ่งมีความผิดฐานฉ้อโกงรวมอยู่ด้วย ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับว่าโจทก์นำสืบให้เห็นว่าซิมการ์ดของกลางที่จำเลยที่ 1 ซื้อมานั้น เป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิดฐานฉ้อโกง ส่วนผู้ใดจะเป็นผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงนั้นเป็นเพียงรายละเอียดมิใช่องค์ประกอบความผิดของความผิดฐานรับของโจร แม้โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นรายละเอียดดังกล่าว แต่โจทก์ได้นำสืบส่วนที่เป็นองค์ประกอบความผิดครบถ้วนศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 6 เดือน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวนายสมเกียรติและนายสุรชัย ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเกี่ยวกับการเอาซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ผู้อื่นมาใช้ มีการสอบสวนขยายผลทราบว่านายสมเกียรติจะติดต่อกับชาวบ้านที่ไม่มีการศึกษาให้มาเปิดใช้บริการโทรศัพท์กับผู้เสียหายหรือนำสำเนาบัตรต่าง ๆ ของผู้อื่นเกี่ยวกับการขอใช้บริการหมายเลขโทรศัพท์มาเปิดใช้บริการโทรศัพท์กับผู้เสียหาย แล้วนำซิมการ์ดไปขายให้แก่จำเลยที่ 1 ราคา 1,500 บาท ถึง 1,700 บาท จำเลยที่ 1 จะนำหมายเลขโทรศัพท์ไปให้บริการตั้งโต๊ะโทรศัพท์ตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ เจ้าพนักงานตำรวจจึงมีการสืบสวนหาจำเลยที่ 1 ต่อมาพบจำเลยที่ 1 กำลังจะโอนเงินที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จังหวัดภูเก็ต จึงเชิญตัวจำเลยที่ 1 ตรวจค้นรถกระบะหมายเลขทะเบียน บจ 9651 ภูเก็ต ของจำเลยที่ 1 พบซองพัสดุสีน้ำตาล 2 ซอง ส่งมาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งมาจากจังหวัดเชียงใหม่ ภายในซองมีซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 6 ใบ ผู้ขอใช้บริการซิมการ์ดทั้ง 6 ใบ อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังพบใบรับส่งพัสดุ สำเนาบัตรข้าราชการ และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้อื่นซุกซ่อนอยู่ในรถ จำเลยที่ 1 ให้การว่า ซิมการ์ดดังกล่าวซื้อมาจากจำเลยที่ 2 ใบละ 2,000 บาท เพื่อจะนำมาให้บริการตั้งโต๊ะ แต่ละใบจะมีโปรโมชั่นในการใช้เดือนละประมาณ 10,000 บาท เมื่อใช้เต็มวงเงินแล้วจะทิ้งไป โดยผู้ขอใช้บริการจากผู้เสียหายไม่ทราบเรื่อง เจ้าพนักงานตำรวจได้ประสานงานไปยังเจ้าพนักงานตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 5 เนื่องจากซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ 09 – 6358015 มีการจัดซื้อมาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และเปิดร้านขายอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้ชื่อว่าเจ้าพ่อมือถือหรืออาณาจักรมือถือ จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดส่งมาให้จำเลยที่ 1 เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนจึงทราบว่าเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวชื่อของผู้ขอเปิดใช้บริการคือนายสมพงษ์ มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าพนักงานตำรวจติดต่อผู้เสียหายเพื่อให้ส่งสำเนาคำขอเปิดใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวมาให้พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวของนายสมพงษ์ เมื่อนายสมพงษ์ดูแล้ว ได้ยืนยันว่าไม่เคยขอเปิดใช้บริการหมายเลขโทรศัพท์และลายมือชื่อในคำขอเปิดใช้บริการและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไม่ใช่ลายมือชื่อของตน นายสมพงษ์เคยไปเช่าวิดีโอจากร้านแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ได้มอบบัตรประจำตัวประชาชนของตนให้แก่พนักงาน เมื่อนำวิดีโอไปคืนพนักงานของร้านบอกว่าบัตรประจำตัวประชาชนได้สูญหายไป ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจไปค้นบ้านของจำเลยที่ 2 พบใบรับส่งสินค้าและรับพัสดุภายในประเทศของบริษัทการบินไทย ต้นทางผู้ส่งคือจำเลยที่ 2 ปลายทางผู้รับคือจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสองว่าร่วมกันฉ้อโกงหรือรับของโจร จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ชั้นพิจารณาศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 2 ไม่ฎีกา คดีในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงยุติ
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานรับของโจรตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 รับซื้อซิมการ์ดของผู้เสียหายไว้จากผู้อื่นแล้วนำมาขายต่อให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ก็ต้องนำสืบให้ได้ความว่าซิมการ์ดของกลางได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง และโจทก์ยังไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า ใครเป็นคนร้ายผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง เมื่อยังไม่มีตัวผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง จำเลยที่ 1 จะมีความผิดฐานรับของโจรได้อย่างไรนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 บัญญัติว่า ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอกหรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร… ตามบทบัญญัติดังกล่าวกรณีจะเป็นความผิดฐานรับของโจรนั้น ต้องได้ความว่าผู้กระทำได้รับซื้อทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดลักษณะหนึ่งในแปดลักษณะ ซึ่งมีความผิดฐานฉ้อโกงรวมอยู่ด้วย ดังนั้นการกระทำของจำเลยที่ 1 จะมีความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับว่าโจทก์ได้นำสืบให้เห็นว่าซิมการ์ดของกลางที่จำเลยที่ 1 ซื้อมา เป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนผู้ใดจะเป็นผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงนั้นเป็นเพียงรายละเอียดมิใช่องค์ประกอบความผิดของความผิดฐานรับของโจร แม้โจทก์จะมิได้นำสืบให้เห็นรายละเอียดดังกล่าว แต่โจทก์ได้นำสืบส่วนที่เป็นองค์ประกอบความผิดครบถ้วน ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อโจทก์ได้นำสืบว่าความผิดฐานฉ้อโกงได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะมีคนร้ายนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายสมพงษ์ ไปแอบอ้างขอเปิดใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 09 – 6358015 จากบริษัทโทเทิ่ลแอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายไปโดยไม่ชอบตามคำเบิกความของนายสมพงษ์และเจ้าหน้าที่ของบริษัทดังกล่าว เป็นผลให้คนร้ายได้ไปซึ่งซิมการ์ดจากผู้เสียหาย ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้ในขณะที่ซิมการ์ดอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ข้อนำสืบดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานรับของโจรครบถ้วนแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 1 ซื้อซิมการ์ดของกลางมาจากจำเลยที่ 2 ด้วยความบริสุทธิ์ใจเปิดเผยและโดยสุจริต อีกทั้งโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ซื้อซิมการ์ดมาจากจำเลยที่ 2 โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง พยานโจทก์จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานรับของโจร เห็นว่า จำเลยที่ 1 รับซื้อซิมการ์ดของกลางโดยรู้หรือไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดนั้น ต้องอาศัยพฤติการณ์แห่งคดีซึ่งโจทก์ได้นำสืบฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ซื้อซิมการ์ดของกลางมาในราคาถูกเพียง 2,000 บาท จากมูลค่าที่แท้จริง 10,000 บาท นับว่าเป็นข้อพิรุธประการหนึ่ง และจำเลยที่ 1 มีกิจการค้าขายอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต แต่กลับสั่งซื้อซิมการ์ดของกลางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ และในการสั่งซื้อก็มิได้ใช้ชื่อตนเองแต่กลับให้นายไก่เป็นผู้สั่งซื้อนับว่าเป็นพิรุธอีกประการหนึ่ง แม้จำเลยที่ 1 จะฎีกาอ้างว่า การส่งซิมการ์ดทางการบินไทยเป็นการกระทำที่เปิดเผยใช้ชื่อของตนเองนั้น ก็เป็นเพียงการส่งของโดยใช้บริการของการบินไทยซึ่งเจ้าหน้าที่จะไม่ตรวจดูว่าสิ่งของนั้นเป็นอะไร คงตรวจเพียงว่าไม่ใช่สิ่งของที่ต้องห้ามนำขึ้นเครื่องบินเท่านั้น จึงไม่ได้แสดงว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 จะกระทำโดยเปิดเผยแต่อย่างใด พฤติการณ์ที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนารับซิมการ์ดของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางของผู้เสียหายไว้ โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานรับของโจร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน