แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้กรรมการตรวจฎีกาจำเลย อุทธรณคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษ
ย่อยาว
คดีโจทย์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๑  เวลากลางคืน  จำเลยกับพวก ๔ คนมีสาตราวุธสมคบกันปล้นทรัพย์ของนายยิ้วผู่ (ชาติจีน)  ซึ่งจอดเรือค้าขายอยู่ที่ตำบลสนามคลี  จังหวัดพิศณุโลกไปตามบาญชีท้ายฟ้องรวมราคา ๖๒๒ บาท ๒๒ สตางค์  แลทำร้ายเจ้าทรัพย์มีบาดเจ็บ  ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ ฯ
นายเพ็งจำเลยให้การรับสารภาพว่า  คืนเกิดเหตุนายเพ็ง นายสด นายแช่ม นายชม นายฉาว นายฟาได้พากันไปปล้นแลทำร้ายเจ้าทรัพย์จริงดุจข้อหา  นายทาจำเลยให้การปฏิเสธข้อหา  ต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ ฯ
ศาลมณฑลพิศณุโลกพร้อมด้วยอธิบดีผู้พิพากษาพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่านายยิ้วผู่กับนายยิ้วกุ่ย ๒ คนพี่น้องเปนคนค้าขายทางเรือ  ได้มาจอดเรือพักนอนอยู่ที่น่าบ้านนายแก้  พอเวลาประมาณเที่ยงคืนมีผู้ร้ายมาเรือ ๒ ลำ  แล้วแก้โซ่เรือเจ้าทรัพย์ให้ลอยตามน้ำไป  นายยิ้วผู่นอนอยู่ทางหัวเรือรู้สึกตื่นขึ้น  เห็นผู้ร้าย ๖ คนก็ร้องว่าขะโมยปล้นช่วยด้วย  ผู้ร้ายก็ช่วยกันตีแลฟันจนนายยิ้วผู่ตกน้ำ  แล้วนายยิ้วผู้ปีนขึ้นทางท้ายเรือได้ก็ขึ้นไปบนหลังคาประทุนเลิกขยาบตอนหัวเรือทิ้งน้ำแลได้เอาไม้ด้ามถ่อตีผู้ร้าย ๆ ก็เอาปืนยิงนายยิ้วผู่ ๑ นัดแต่ไม่ถูก  ผู้ร้ายเข้าไปเก็บของในประทุนได้แล้วก็พากันลงเรือเล็กหนีไป  แลทิ้งมีดซุยไว้ ๑ เล่ม  นายยิ้วกุ่ยเบิกความยืนยันว่า  ขณะปล้นนายยิ้วกุ่ยอยู่ในประทุน  ได้เห็นผู้ร้ายเข้าไปเก็บของในประทุน  ผู้ร้ายใช้ไม้ขีดไฟส่องหาสิ่งของ  นายยิ้วกุ่ยจำหน้าผู้ร้ายที่เก็บของได้ ๒ คน คือ จำเลย ๒ คนนี้  แลนายยิ้วผู่ก็เบิกความว่าจำหน้าผู้ร้ายซึ่งออกมาจากประทุนได้ ๒ คน คือจำเลย ๒ คนนี้เหมือนกัน  ด้วยขณะนั้นเดือนหงายสว่าง  แลพยานเคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อนถูกปล้นโดยจำเลยมาซื้อของบ้าง  เห็นจำเลยเดิรไปมาทางถนนริมฝั่งบ้าง แลโจทย์มีคำนายเก๋งเบิกความประกอบเจ้าทรัพย์ว่าเมื่อได้ยินเสียงเจ้าทรัพย์ร้องให้ช่วย  นายเก๋งได้ลงเรือพายไปช่วยเจ้าทรัพย์  แต่ยังห่างอีกสัก ๕ วา  เห็นคน ๖ คนลงจากเรือเจ้าทรัพย์แล้วลงเรือเล็ก ๒ ลำ ๆ ละ ๓ คนพายสวนทางกับนายเก๋ง ๆ ยกปืนขึ้นจะยิง  ผู้ร้ายว่าอ้ายเก๋งไม่ใช่ธุระอะไรของมึง  นายเก๋งจำเสียงได้ว่าเสียงเหมือนนายทาจำเลย  แลนายแช่มพยานโจทย์ก็เบิกความว่าเมื่อคืนเกิดเหตุนายเพ็งจำเลยไปชวนพยานเพื่อไปขะโมยของเจ๊กนายทาก็อยู่ที่นั่นด้วย  แต่พยานไม่ไป  ครั้นรุ่งขึ้นเจ้าทรัพย์ได้นำเหตุไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้าน ๆ เรียกประชุมลูกบ้าน  นายยิ้วผู่นายยิ้วกุ่ยได้ชี้เอาจำเลยว่าเปนผู้ร้าย  แลเมื่อนายปรุงปลัดอำเภอไต่สวน  นายเพ็งจำเลยก็ให้การซัดว่านายทาจำเลยได้ไปปล้นทรัพย์รายนี้ด้วย  ได้ความดังนี้  ฝ่ายพยานฐานที่นายทาจำเลยเบิกความแตกต่างกัน  หาควรฟังมาหักล้างพยานโจทย์ได้ไม่  คดีฟังได้ว่าจำเลยทั้ง ๒ กับพวกเปนผู้ร้ายปล้นทรัพย์ของนายยิ้วผู่ แลทำร้ายนายยิ้วผู่มีบาดแผลที่ใต้ศอกขวาแลที่น่าอกรวม ๔ แผล  แต่แผลไม่สาหัสจริงดุจข้อหาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ ตอน ๑ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ ๑๒ ปี แต่นายเพ็งจำเลยให้การรับสารภาพโดยดี  ควรประณีย์ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๕๙  คงให้ลงโทษจำคุกนายเพ็ง ๘ ปี กับให้จำเลยทั้ง ๒ คืนฤาใช้ราคาทรัพย์ ๖๒๒ บาท ๒๒ สตางค์ให้แก่เจ้าทรัพย์  ถ้าไม่มีใช้ให้จำแทนคนละ ๓๑๑ วัน ฯ
นายทาจำเลยผู้เดียวอุทธรณ  ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษายืนตามศาลเดิม ฯ
นายทาจำเลยผู้เดียวทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ประชุมปฤกษาคดีนี้ตลอดแล้ว  ข้อเท็จจริงโจทย์มีสักขีพยานเบิกความประกอบกันเปนหลักฐานมั่นคงหามีข้อเคลือบแคลงแต่อย่างใดไม่  ด้วยขณะเกิดเหตุก็เปนเวลาเดือนหงาย  พยานได้เห็นแลจำจำเลยได้ถนัดชัดเจนทั้งพยานเคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อนด้วย  คดีฟังได้ดังที่ศาลล่างได้วินิจฉัยมานั้น  ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นให้ยกเสีย  ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลล่างนั้น ฯ
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

