คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5353/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ก่อสร้างต่อเติมบ้านโดยออกเช็คลงวันที่ 3 เมษายน 2530 ชำระค่าจ้างแก่โจทก์บางส่วนพร้อมกับกล่าวรับรองว่าโจทก์สามารถรับเงินได้แน่นอนเพราะจำเลยมีเงินในธนาคารพร้อมอยู่แล้วซึ่งเป็นความเท็จ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2530 โดยให้เหตุผลว่าบัญชีปิดแล้ว โจทก์ทวงถามจำเลยก็ผัดผ่อนเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่5 สิงหาคม 2530 โจทก์ให้ทนายความไปตรวจสอบจากธนาคารตามเช็คจึงทราบว่าบัญชีของจำเลยปิดแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2529 ตามฟ้องของโจทก์ย่อมเข้าใจได้ว่าในขณะที่จำเลยออกเช็คนั้นบัญชีของจำเลยปิดแล้ว แต่จำเลยปกปิดความจริง ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงโจทก์ซึ่งเข้าลักษณะฉ้อโกงตามกฎหมาย แม้ธนาคารแจ้งให้โจทก์ทราบว่าบัญชีปิดแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2530ธนาคารก็มิได้แจ้งว่าบัญชีปิดเมื่อใด โจทก์จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกงโจทก์ จากคำบรรยายฟ้องของโจทก์พอเข้าใจได้ว่าโจทก์เพิ่งรู้เรื่องความผิดคดีนี้เมื่อวันที่ 5สิงหาคม 2530 โจทก์มาฟ้องวันที่ 6 ตุลาคม 2530 คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความให้ยกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์บรรยายฟ้องใจความว่าจำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างต่อเติมบ้านของจำเลยโดยออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาบางลำภู ลงวันที่ 3 เมษายน 2530ชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์บางส่วนพร้อมกับกล่าวรับรองว่า เมื่อถึงกำหนดสั่งจ่ายเงินตามเช็คโจทก์สามารถรับเงินได้แน่นอนเพราะจำเลยมีเงินในธนาคารพร้อมอยู่แล้วซึ่งเป็นความเท็จ ครั้นถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็คโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2530 โดยให้เหตุผลว่าบัญชีปิดแล้ว โจทก์ทวงถามจำเลยก็บ่ายเบี่ยงและผัดผ่อนเรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2530 โจทก์มอบให้ทนายความไปตรวจสอบข้อเท็จจริงจากธนาคารตามเช็คจึงทราบความจริงว่าบัญชีของจำเลยปิดแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2529 ตามฟ้องของโจทก์ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ต่อเติมบ้านโดยออกเช็คชำระค่าจ้างให้โจทก์แต่ในขณะออกเช็คนั้นบัญชีของจำเลยปิดแล้ว แต่จำเลยปกปิดความจริงไม่แจ้งให้โจทก์ทราบว่า เช็คที่ออกให้โจทก์นั้นเรียกเก็บเงินไม่ได้ เพราะบัญชีปิดแล้ว ถือว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงโจทก์ซึ่งเข้าลักษณะฉ้อโกงตามกฎหมาย แม้โจทก์จะนำเช็คไปเรียกเก็บเงินและธนาคารแจ้งแต่เพียงว่าบัญชีปิดแล้ว โดยแจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 15พฤษภาคม 2530 ธนาคารก็มิได้แจ้งว่าบัญชีปิดเมื่อใด โจทก์ย่อมไม่ทราบว่า บัญชีของจำเลยปิดมาแล้วก่อนวันที่จำเลยออกเช็คโจทก์จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกงโจทก์ ต่อเมื่อโจทก์ให้ทนายความไปตรวจสอบที่ธนาคารตามเช็คจึงทราบว่าจำเลยออกเช็คขณะที่บัญชีปิดแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อโกงโจทก์ฉะนั้นที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า เพิ่งทราบความจริงเมื่อวันที่ 5สิงหาคม 2530 พอเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์เพิ่งรู้เรื่องความผิดคดีนี้ ในวันที่ 5 สิงหาคม 2530 โจทก์มาฟ้องวันที่ 6 ตุลาคม 2530คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ต้องฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องของโจทก์ต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องของโจทก์มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

Share