คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4801/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าเป็นผู้อาศัยออกจากที่ดินและบ้านพิพาท จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์และฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณา โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จะโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลย ส่วนจำเลยจะให้เงินโจทก์ 600,000 บาท และระบุวันรับโอนกรรมสิทธิ์และชำระเงินไว้ หากฝ่ายใดผิดนัดให้บังคับคดีได้ทันที แต่จำเลยผิดนัด โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนี้ สภาพข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีเดิมคือ จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านของโจทก์ โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ต่อไป แต่เมื่อโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอม ข้อโต้แย้งสิทธิตามคำฟ้อง คำให้การ และฟ้องแย้งได้ถูกแปลงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ถือได้ว่าประเด็นแห่งคดีได้มีการวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดไปแล้วโดยคำพิพากษาตามยอม จำเลยจึงครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิขอบังคับคดีให้จำเลยชำระเงิน 600,000 บาท ในคดีดังกล่าว แต่การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท เป็นคำฟ้องที่มีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่เกิดขึ้นใหม่จากสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิมซึ่งจำเลยผิดสัญญา และเป็นเรื่องที่โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยนอกเหนือจากการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม คดีทั้งสองจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุคนละอย่างกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ ๑๓๗/๓ และที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๔๗๓ ตำบลบ้านกลาง (บ้านใหม่) อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี และห้ามมิให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับบ้านและที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท แต่ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๖/๒๕๔๒ ของศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า ในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๖/๒๕๔๒ ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทเดียวกันกับคดีนี้โดยอ้างว่าโจทก์ให้จำเลยเข้าอยู่อาศัย แต่ต่อมาไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่อาศัยอีกต่อไป แจ้งให้จำเลยออกไป จำเลยไม่ยอมออก จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์และฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณา โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านเลขที่ ๑๓๗/๓ ตามฟ้องให้แก่จำเลยโดยจำเลยยินยอมชำระเงินค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์และจำเลยตกลงจะไปโอนกรรมสิทธิ์และชำระเงินกันที่สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีในวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ หากฝ่ายใดผิดสัญญาให้บังคับคดีได้ทันที ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว เห็นได้ว่า สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีดังกล่าวก็คือ จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านของโจทก์ตามฟ้อง แล้วโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป ได้แจ้งให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลยไม่ยอมออก และมีคำขอบังคับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปกับใช้ค่าเสียหาย แต่เมื่อโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมกันดังกล่าวและศาลพิพากษาตามยอม ข้อโต้แย้งสิทธิตามคำฟ้อง คำให้การและฟ้องแย้งได้ถูกแปลงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ถือว่าประเด็นแห่งคดีได้มีการวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดไปแล้วโดยคำพิพากษาตามยอม โจทก์จำเลยมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาซึ่งพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จำเลยจึงครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอบังคับคดีให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท ในคดีดังกล่าว แต่การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านตามฟ้อง เป็นคำฟ้องที่มีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่เกิดขึ้นใหม่จากการที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๖/๒๕๔๒ ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยผิดสัญญาและเป็นเรื่องที่โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยนอกเหนือจากการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม คำฟ้องคดีนี้จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุคนละอย่างกับคดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๖/๒๕๔๒ ของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๖/๒๕๔๒ ของศาลชั้นต้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๔๗๓ ตำบลบ้านกลาง (บ้านใหม่) อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี และบ้านเลขที่ ๑๓๗/๓ หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๔,๕๐๐ บาท.

Share